วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

"หวั่งหลี" ภาคพิสดารว่าด้วยบทบาทตันซิวเม้ง-ตันซิวติ่ง


 "หวั่งหลี" ภาคพิสดารว่าด้วยบทบาทตันซิวเม้ง-ตันซิวติ่ง 


นิตยสารผู้จัดการ ( กุมภาพันธ์ 2530)

ตำนานตระกูลหวั่งหลีและธุรกิจของเขาที่ไม่เปิดออกยังมีอีกมาก อาจจะเรียกเป็นภาคผนวกก็ได้ (โปรดทบทวนเรื่องหวั่งหลีในฉบับที่ 39 ธันวาคม 2529 ประกอบ)

ตันซิวเม้ง ผู้นำตระกูลหวั่งหลี มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างรากฐานธุรกิจในประเทศไทย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับความเป็นชาวจีนโพ้นทะเล คำถามที่ไม่มีคำตอบจนถึงวันนี้กว่า 40 ปีก็คือ เขาต้องถูกสังหารทั้งๆ ที่เขาคือคนที่ชาวจีนโพ้นทะเลให้ความยกย่องนับถืออย่างยิ่ง

ตันซิวติ่ง เข้ามาสวมแทนบทบาทผู้นำตระกูลภายหลังตันซิวเม้งเสียชีวิต หลายคนประเมินบทบาทเขาต่ำเกินไปเพียง "ผู้เฝ้าทรัพย์" รอลูก ๆ ตันซิวเม้งกลับจากศึกษาในต่างประเทศ หากจะประเมินอย่างเป็นธรรมแล้วเขาควรจะได้รับการยกย่องไม่น้อยเหมือนกัน

วันที่ 8 ธันวาคม 2482 ที่ญี่ปุ่นบุกไทยนั้น ตันซิวเม้งในฐานะผู้นำชาวจีนในประเทศไทยที่มี ความสัมพันธ์กับทางจีนแผ่นดินใหญ่อย่างล้ำลึกต้องหลบหนีไปซ่อนตัวที่คลองบางหลวง ปทุมธานี ห่างจากดอนเมืองไม่ไกลนัก แต่ถูกญี่ปุ่นจับได้ในที่สุด เขาถูกบังคับให้เป็นประธานหอการค้าไทย-จีนภายใต้อาณัติญี่ปุ่น เขาได้กลายเป็น "กันชน" มิให้ญี่ปุ่นทำลายชีวิตและทรัพย์สินของชาวจีนในไทย ไม่ว่าเขาจะไปไหนทหารญี่ปุ่นจะต้องส่งคนติดตามทุกฝีก้าว

เดือนพฤษภาคม 2486 ทหารญี่ปุ่นควบคุมผู้คนสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์กาญจนบุรี-พม่า ชาวจีนในไทยกว่าหมื่นคนถูกเกณฑ์ด้วย ชาวจีนพากันหลบหนีภัยความโหดร้ายทารุณของทหารญี่ปุ่น ตันซิวเม้งออกหน้าแก้ไขสถานการณ์ต่างประกาศเชิญชวนชาวจีน โดยเสนอให้มีค่าจ้างแรงงาน อาหาร ที่พัก และยารักษาโรค ฯลฯ ด้วยทางออกเช่นนี้ ชาวจีนโพ้นทะเลจึงพ้นภัยจากทหารญี่ปุ่น

ในขณะเดียวกันตันซิวเม้งอ้างกับญี่ปุ่นว่า ควรสร้างหลุมหลบภัยทางอากาศที่บางบัวทอง ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมือง แต่แท้ที่จริงเขากำลังซ่องสุมผู้คนอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหารเพื่อคอยโอกาสต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น และเพื่อรับพลร่มฝ่ายสัมพันธมิตรที่ร่วมมือกับเสรีไทย

ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตตันซิวเม้งคือเขาไม่สามารถทัดทานญี่ปุ่นที่ปลอมแปลงเอกสารในนามของเขา-ประธานหอการค้าไทย-จีน ส่งถึงเมืองนานกิง-ต่ง-เก่ง เสนอให้รัฐบาลจีนร่วมมือกับญี่ปุ่น จากจุดนี้เองมีผู้คนไม่น้อยเข้าใจผิดตลอดมา

ต้นเดือนสิงหาคม 2488 ญี่ปุ่นยอมแพ้ รัฐบาลจีนจะส่งคณะผู้แทนตรวจการมายังเมืองไทยในวันที่ 16 สิงหาคม วันเดียวกันนั้นตันซิวเม้ง ได้ออกจากที่ทำการหอการค้าไทย-จีน เมื่อเวลา 16.00 น. เขาเดินทางกลับบ้านโดยรถยนต์เพื่อเตรียมการต้อนรับผู้แทนทางการจีน รถยนต์ถึงท่าเรือแองโกลไทยเพื่อข้ามฟากไปบ้านหวั่งหลี ฝั่งธนบุรี ขณะยืนรอเรืออยู่นั้น ทันใดก็เกิดเสียงปืนดังสนั่น เขากลับไปมองพบว่าคนคุ้มครองของเขากำลังต่อสู้กับคนร้าย 5-6 คน ท่ามกลางหน้าสิ่งหน้าขวาน ตันซิวเม้งยังเจรจาหว่านล้อมคนร้ายทั้งหมด แต่ไม่เป็นผล ในที่สุดเขาต้องจบชีวิตลงตรงนั้น

นี่คือประวัติส่วนที่ขาดหายไปของตันซิวเม้ง ซึ่ง"ผู้จัดการ" เก็บตกจากหนังสืองานศพของเขา (แปลจากต้นฉบับภาษาจีน) เมื่อปี 2488

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตระกูลหวั่งหลีได้แบ่งออกเป็น 2 ปีก ที่ฮ่องกงและไทย ตันซิ่วติ่งเคยพำนักที่ฮ่องกงต้องเดินทางมาดูแลกิจการของตระกูลหวั่งหลีในประเทศไทยแทนตันซิวเม้ง

เขาเพียงดำเนินกิจการค้าข้าว-โรงสีต่อไป กิจการอื่นซบเซาอย่างมาก ภายใต้แรงกดดันรอบด้าน การเมืองกำลังผันผวน ทายาทไม่มี และความขัดแย้งทางแนวความคิดระหว่างหวั่งหลีในฮ่องกงและไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเข้ามาเป็น "หลักศิลา" ของตระกูลท่ามกลางอาการ "ช็อค" เพราะการจากไปอย่างกระทันหันของตันซิวเม้ง

ตันซิวติ่งคือหลักศิลากลางน้ำเชี่ยวกรากอย่างแท้จริง

ที่สำคัญประการหนึ่งคือรักษากฎการดำเนินธุรกิจของตระกูล

ธุรกิจหวั่งหลี มีความมั่นคงและเติบโตมาได้ในช่วง 120 ปี ก็เพราะผู้นำตระกูลทุกรุ่นปฏิบัติเป็นวัฒนธรรมของตระกูลเลยก็คือ บริษัทแยกออกจากส่วนตัวอย่างเด็ดขาด

วุฒิชัย หวั่งหลี ทายาทคนหนึ่งของตันซิวติ่งเล่าว่า ผลตอบแทนของคนในตระกูลนั้นมาจาก 2 ทาง หนึ่ง-เงินปันผลตามสัดส่วนของหุ้นเมื่อกิจการมีกำไร สอง-เป็นผู้บริหารบริษัท ซึ่งมีเงินเดือนแน่นอน นอกจากนี้ทุกคนไม่มีทางจะได้ประโยชน์เงินทองจากบริษัทอีกเลย

บริษัทหวั่งหลี และหวั่งหลีโฮลดิ้ง เป็นแกนกลางของตระกูลในประเทศไทย หุ้นจะถูกโอนตามสายเฉพาะผู้ชายเท่านั้น หากกรรมการคนหนึ่งคนใดเพียงคนเดียวไม่เห็นด้วยกับการโอนหุ้นก็ไม่สามารถกระทำได้ นี่คือระเบียบของบริษัทนี้

ปัจจุบันหากไม่รวมกลุ่มพูลผลแล้ว บทบาทของคนตระกูลหวั่งหลีในฮ่องกงจะมีอำนาจมากกว่า ว่ากันว่าบ่อยครั้งที่ธนาคารหวั่งหลี (นครธนในปัจจุบัน) ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ก็เพราะคนหวั่งหลีในฮ่องกงไม่เห็นด้วย

ทายาทหวั่งหลีปัจจุบันภูมิใจเสมอว่า กฎของตระกูลที่แยกบริษัทออกจากส่วนตัวนี้ เป็นหัวใจรักษาธุรกิจหวั่งหลีให้มั่นคงถาวรมากว่า 100 ปี จวบจนทุกวันนี้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น