วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

บริการทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00 – 15.00 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0 2244 3114

 นายแพทย์ชัยวัน เจริญโชคทวี คณบดี คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช (วชิรพยาบาล) เป็นประธานเปิดคลินิกสุขภาพท้า ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2554 เพื่อให้คำปรึกษา และแนะนำดูแลรักษาปัญหาสุขภาพเท้าที่พบบ่อย เปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00 – 15.00 น. สอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 02 244 3114
          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 022443030 วนิดา/วพบ. 
 

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

กกต.สอย"ประจิตต์ โรจนพฤกษ์"พ้น ส.ว. เหตุไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รอฟันคดีอาญาซ้ำ

กกต.สอย"ประจิตต์ โรจนพฤกษ์"พ้น ส.ว. เหตุไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รอฟันคดีอาญาซ้ำ

วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:30:29 น.

Share 


ประจิตต์ โรจนพฤกษ์


ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. แถลงผลการประชุม กกต. ว่าที่ประชุม กกต.ได้มีมติเพิกถอนสิทธิการสรรหาเป็น ส.ว.ของนายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ ส.ว.สรรหา เนื่องจากขาดคุณสมบัติการเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. เพราะไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ปทุมธานี แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2552 รวมทั้งไม่ได้แจ้งเหตุแห่งการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง อีกทั้งจากการตรวจสอบพบว่า ตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่เข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 นั้นไม่มีวันเลือกตั้งในพื้นที่ดังกล่าว

 

นายภุชงค์ กล่าวว่า หลังจากนี้ กกต.จะดำเนินการจัดทำร่างคำวินิจฉัยเพื่อให้ กกต.ลงนาม และเสนอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อให้เพิกถอนสิทธิการสรรหาและเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี รวมทั้งดำเนินคดีอาญากับนายประจิตต์และกรมสารนิเทศ ซึ่งเป็นองค์กรที่เสนอชื่อ ทั้งนี้ กกต.จะต้องเร่งดำเนินการจัดทำร่างคำวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิการสรรหา ส.ว.ทั้งหมด ให้แล้วเสร็จก่อนถึงวันที่ 11 เมษายนนี้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ กกต.ดำเนินการพิจารณาเรื่องร้องคัดค้านให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ประกาศผลการสรรหา ส.ว.


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332843615&grpid=00&catid=01&subcatid=0100

 

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทความ K SME Analysis เรื่อง แผนสำรอง BCP เพื่อรองรับในสภาวะฉุกเฉินสำหรับอุตสาหกรรมผลิต (26 มี.ค. 55)



จาก: KSMECare Team <info@ksmecare.com>
วันที่: 26 มีนาคม 2555, 11:54
หัวเรื่อง: บทความ K SME Analysis เรื่อง แผนสำรอง BCP เพื่อรองรับในสภาวะฉุกเฉินสำหรับอุตสาหกรรมผลิต (26 มี.ค. 55)
ถึง: 




เรียน สมาชิก K SME Care

แผนสำรอง BCP เพื่อรองรับในสภาวะฉุกเฉิน สำหรับอุตสาหกรรมผลิต

       อุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ส่งผลให้เศรษฐกิจภาพรวมของไทยปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง สินค้าและศูนย์กระจายสินค้าต่างๆบริเวณภาคกลาง ทำให้การดำเนินงานของหลายบริษัทต้องหยุดชะงัก และต้องเสียค่าใช้จ่ายและใช้เวลาหลายเดือนในการซ่อมแซมและฟื้นฟูกิจการ ดังนั้น หลังจากที่ภาวะอุทกภัยคลี่คลายลงไปแล้ว จึงมีผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มให้ความสนใจต่อการทำแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Business Continuity Planning: BCP) เพื่อ ใช้ในการบริหารการทำงานให้เกิดความต่อเนื่องในช่วงเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า เช่น เหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองและภัยธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น โดย แผน BCP จะช่วยในการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดต่อการดำเนินธุรกิจ ทรัพย์สินและข้อมูลต่างๆ ซึ่งขั้นตอนส่วนใหญ่ของการทำแผน BCP ผู้ประกอบการต่างๆสามารถทำได้โดยไม่เสียค่าใช้ จ่าย

       อย่างไรก็ตาม แม้แผน BCP จะช่วยในการป้องกันความเสียหายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ครบถ้วนทั้งหมด และยังคงมีข้อจำกัดสำหรับ SME ขนาดเล็กที่มีอุปสรรคในด้านอื่นๆ เช่น ความเพียงพอของเงินทุนและความสามารถในการปรับตัว เป็นต้น ซึ่งความสำเร็จของแผน BCP นอกจากจะขึ้นอยู่ กับการวางแผนที่เหมาะสมต่อสถานการณ์แล้ว ยังต้องสามารถนำไปปฎิบัติและจะต้องได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ทันเวลา




คลิกที่นี่เพื่ออ่านทั้งหมด


กรณีต้องการสอบถามข้อมูล
E-mail: info@ksmecare.com



หมายเหตุ: ธนาคารกสิกรไทยไม่มีนโยบายในการสอบถามข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัญชี หมายเลขบัตรเครดิต รหัส ผู้ใช้ Password หรือ Pin ใด ๆ ของท่านผ่านทาง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือทางโทรศัพท์ หากท่านได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือโทรศัพท์สอบถามข้อมูลดังกล่าว กรุณาอย่าตอบกลับหรือ ให้ข้อมูลใด ๆ และกรุณาแจ้ง K-Contact Center ที่ 0 2888 8888 โดยด่วน สำหรับการเข้าสู่ระบบออนไลน์หรือเวปไซต์ของธนาคาร กรุณาพิมพ์ www.kasikornbank.com ด้วยตัวท่านเอง หรือใช้ short-cut ที่ท่านสร้างด้วยตัวเอง และควรหลีกเลี่ยงการ click link จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และเวปไซต์อื่น

อีเมล์ฉบับนี้เป็นเพียงการแจ้งข่าวสารจากทางธนาคารเท่านั้น หากท่านต้องการระงับข่าวสารในช่องทางนี้จากทางธนาคาร กรุณาพิมพ์หัวเรื่อง "Unsubscribe" และตอบกลับมายังอีเมล์ฉบับนี้ หรือส่งมาที่ info@ksmecare.com สอบถามเพิ่มเติมหรือสนใจบริการของทางธนาคาร โปรดติดต่อ: K-Contact Center 0 2888 8888






วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

งานศพ “เฉลียว อยู่วิทยา” มหาเศรษฐีแสนล้าน ทำไมต้อง "วัดเครือวัลย์"?

 

งานศพ "เฉลียว อยู่วิทยา" มหาเศรษฐีแสนล้าน ทำไมต้อง "วัดเครือวัลย์"?

วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:00:00 น.

Share27




นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ สำหรับการจากไปของ "เฉลียว อยู่วิทยา"  ด้วยวัย 89 ปี มหาเศรษฐีแสนล้าน ผู้ก่อตั้งบริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ขณะนี้จัดพิธีศพและสวดพระอภิธรรม ณ วัดเครือวัลย์วรวิหาร ศาลา 1 กำหนดฌาปนกิจศพในวันที่ 24 มีนาคมนี้

 


มีการตั้งข้อสังเกตและเป็นที่พูดถึงมากว่า เหตุใดพิธีศพของ "เจ้าสัวกระทิงแดง" จึงจัดขึ้น ณ"วัดเครือวัลย์วรวิหาร" ซึ่งเป็นวัดพระอารามหลวงชั้นตรี หรือ วัดประจำหัวเมืองธรรมดา ไม่ใช่พระอารามหลวงชั้นเอก หรือ ชั้นโท อย่างที่มหาเศรษฐีรายอื่นๆ นิยมจัดงานศพ

 

อย่างชื่อ "วัดเครือวัลย์วรวิหาร" เมื่อแรกได้ยิน น้อยคนนักที่จะรู้จัก คิดไม่ออกว่าอยู่แห่งหนตำบลไหน

 

"สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ลูกสาวคนโตของ "เฉลียว กับ ภาวนา" ทายาทที่"เฉลียว"ไว้วางใจ มอบหมายให้ดูและอาณาจักรกระทิงแดง บอกว่า

 

 

"เหตุผลที่เลือกวัดเครือวัลย์จัดพิธีศพ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคุณพ่อที่ต้องการให้จัดพิธีศพอย่างเรียบง่าย จึงไม่เลือกวัดแห่งอื่นในกรุงเทพ"

 


ด้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกระทิงแดง ขยายความเพิ่มเติมว่า หลังจาก"เฉลียว"เดินทางจากบ้านเกิด จ.พิจิตร เข้ามาทำงานที่ร้านขายยาของพี่ชายในกรุงเทพฯได้อาศัอยู่ย่านฝั่งธนบุรี ตั้งแต่เล็กจนโต ใช้ชีวิตอยู่ย่านนี้มาตลอด มีความผูกพันอย่างมาก จึงมีความประสงค์อยากให้จัดงานศพที่วัดแห่งนี้

 


เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกระทิงแดงยังบอกอีกว่าวัดเครือวัลย์ยังอยู่ใกล้บ้านและที่ทำงานของพนักงานพนักงานบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ตั้งอยู่ถนนเอกชัย เป็นย่านฝั่งธนบุรีเหมือนกัน เดินทางมาร่วมงานได้สะดวก

 


ถ้าเอ่ยชื่อ "วัดเครือวัลย์" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่าเป็น "ฌาปณสถานกองทัพเรือ" คงจะช่วยให้พอนึกภาพออกได้บ้างว่าน่าจะอยู่ตรงไหน
 

 

วัดเครือวัลย์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 36 แขวงวัดอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ตามประวัติระบุว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดย เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย บุญยรัตพันธุ์) ผู้เป็นบิดาของเจ้าจอมเครือวัลย์ เป็นผู้สร้าง และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่าวัดเครือวัลย์วรวิหาร

 


ภายในวัด ก่อสร้างพระอุโบสถและพระวิหารตั้งขนานในแนวเดียวกัน หันหน้าออกสู่ "คลองมอญ" โดยมีพระเจดีย์ทรงลังกา 3 องค์ ตั้งอยู่ระหว่างกลาง พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามญาติ มีจิตรกรรมฝาผนังซึ่งงดงามมาก เขียนเรื่องพระพุทธเจ้า 500 ชาติ

 


ดังที่ "นายมี มหาดเล็ก" เขียนไว้ใน "กลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว" ตอนหนึ่งว่า

 


"วัดทั้งหลายคล้ายกันเป็นอันมาก
ไม่หนีจากอย่างเก่าเป็นเอาวสาน
แต่วัดเครือวัลย์ใหม่อำไพพาน
หนีบุราณแปลกเพื่อนไม่เหมือนใคร
เขียนชาดกยกเรื่องโพธิสัตว์
ทอดประทัดตีตารางสว่างไสว
เป็นห้องห้องช่องละชาติออกดาษไป
นับชาติได้ห้าร้ายสิบชาติตรา
ด้วยทรงพระศรัทธาเมตตาช่าง
ให้สินจ้างช่องละบาทดังปรารถนา"

 

สำหรับเหตุผลที่งานศพของมหาเศรษฐีแสนล้านจัดขึ้นที่วัดเครือวัลย์เมื่อทายาทกระทิงแดง บอกว่า เป็นความประสงค์ของผู้เป็นพ่อ จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะตลอดเวลากว่า 30 ปี ที่ "เจ้าสัวเฉลียว" คุมอาณาจักรกระทิงแดง ข่าวคราวที่ปรากฏต่อหน้าสื่อนั้นมีน้อยมาก

 


"เฉลียว"แทบจะไม่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หรือทีวีช่องไหนเลย อีกทั้งยังเก็บตัวเงียบ ใช้ชีวิตอย่างสมถะไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ ไม่แสดงความคิดเห็นผ่านเวทีต่างๆ  เพราะเลือกที่จะทำงานมากกว่าพูด เลือกที่จะปฏิบัติ มากกว่าคิด สวนทางกับธุรกิจที่ทำอยู่ซึ่งเติบโตขึ้นทุกวันๆ ผู้คนรู้จักผลิตภัณฑ์ "กระทิงแดง" มากขึ้นเรื่อยๆ จากเมืองไทย ขยายไปสู่ออสเตรีย และขยายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ภายใต้แบรนด์ "เรดบูล (Red Bull)"

 


สุทธิรัตน์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงพ่อทำนองว่า เป็นคนสมถะเรียบง่าย แต่งตัวธรรมดาด้วยเสื้อตัวเดียว นุ่งกางเกงแพร สวมหมวกงอบ มีกิจวัตรประจำวันในช่วงยังดูแลธุรกิจคือ ขี่จักรยานวนไปรอบๆ โรงงาน เจออะไรไม่เรียบร้อย จะแวะเข้าไปดู

 


"มีเรื่องตลกเล่าว่า ครั้งหนึ่งมียามหน้าใหม่ไม่รู้จักเฉลียว อยู่วิทยา เมื่อเขาเห็นลุงแก่ๆ ขี่จักรยานเข้ามาในโรงงาน เป็นเขตที่คนนอกห้ามเข้า เขาจึงตะโกนห้ามว่า…ลุง…ลุง…ห้ามเข้า เผอิญยามอีก 2 คน เป็นยามเก่าเห็นพอดี จึงเดินมาสะกิด และบอกยามหนุ่มว่านี่คือผู้จัดการโรงงาน งานนั้นก็เลยเล่นเอายามหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี"

 


งานศพของ "เจ้าสัวเฉลียว" แม้ทางเจ้าภาพจะมีความประสงค์จัดอย่างเรียบง่าย แต่ด้วยความ "ยิ่งใหญ่" ของผู้วายชนม์ ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา พวงหรีดมากมายเดินทางเข้าสู่วัดเครือวัลย์ ผู้คนมากมายหลั่งไหลมาร่วมงานสวดอภิธรรมศพ ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง อาทิ  พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา, ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง, รัตน์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)

 

ความสมถะเรียบง่ายของ "ผู้เป็นตำนานของกระทิงแดง" ปรากฏอยู่จนวันสุดท้ายของชีวิต

 

ดังที่ครอบครัว "อยู่วิทยา" ระบุไว้เกี่ยวกับงานศพของ"เฉลียว"...

 

"เนื่องจากเป็นความประสงค์ของผู้วายชนม์ที่ต้องการจัดพิธีอย่างเรียบง่ายและเพื่อไม่เป็นการรบกวนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครอบครัวอยู่วิทยาจึงขอเป็นเจ้าภาพตลอดพิธีและขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานครั้งนี้ อนึ่ง เงินทำบุญจากแขกทุกท่าน ทางเจ้าภาพจะมอบให้แก่วัดเครือวัลย์วรวิหาร โดยไม่หักค่าใช้จ่าย"

 

เหมือน "เฉลียว อยู่วิทยา"  มหาเศรษฐีแสนล้านกำลังจะสอนคนที่ยังอยู่ข้างหลังว่า

 

รวยแค่ไหนก็เอาไปไม่ได้

 




 
 
พระอุโบสถวัดเครือวัลย์วรวิหาร 
พระอุโบสถวัดเครือวัลย์วรวิหาร
เจดีย์ทรงลังกา 3 องค์ 
เจดีย์ทรงลังกา 3 องค์
พวงหรีดมากมายที่เดินทางสู่วัดเครือวัลย์วรวิหาร ในพิธีศพ "เจ้าสัวกระทิงแดง" 
พวงหรีดมากมายที่เดินทางสู่วัดเครือวัลย์วรวิหาร ในพิธี

ตะลึง ทัพแมลงปอ-ชีปะขาว นับล้านตัวโผล่จากน้ำโขง ป่วนเมือง

ตะลึง ทัพแมลงปอ-ชีปะขาว นับล้านตัวโผล่จากน้ำโขง ป่วนเมือง (ชมคลิป)

วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 10:37:57 น.

Share 




รับชมข่าว VDO


 ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 24  มีนาคม ว่า  ที่จังหวัดนครพนม เมื่อคืนที่ผ่านมา  ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม  ตลอดแนวถนนสุนทรวิจิตร  ริมฝั่งแม่น้ำโขง  และถนนในเขตเทศบาลเมืองนครพนม  ได้มีกองทัพแมลงชีปะขาว  หรือตัวอ่อนแมลงปอน้ำ  นับล้านตัว  บินขึ้นมาจากแม่น้ำโขง  เพื่อมาตอมเล่นไฟส่องสว่างริมถนน  ก่อนแมงชีปะขาวตายกองเต็มพื้นถนน  สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้สัญจรไปมา  โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องเลี่ยงใช้ถนนเส้นที่ติดลำแม่น้ำโขง  เกรงว่าจะลื่นเกิดอุบัติเหตุล้ม  นอกจากนี้ ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับร้านค้า  ร้านอาหาร และบ้านเรือน  ที่อยู่ติดริมฝั่งโขง  จนต้องปิดไฟหนี 

 

 ขณะเดียวกันหลังจากแมงชีปะขาวบินขึ้นมาตอมไฟ กับเป็นผลดีต่อเกษตรกรเลี้ยงปลากระชัง  ต่างพากันแย่งเก็บกวาดใส่กระสอบ  คนละ 20 -30 กระสอบปุ๋ย  เพื่อนำไปเป็นอาหารปลา  ประหยัดค่าใช้จ่าย  โดยจะนำไปตากแห้ง ก่อนนำไปบดผสมกับรำอ่อน เข้าเครื่องบดอัดออกมาเป็นเม็ด ตากแห้งเก็บไว้เป็นอาหารปลา  ไม่ต้องซื้อหัวอาหารไปอีกหลายเดือน  ช่วยลดต้นทุนประหยัดค่าหัวอาหารมากกว่า 50%    บางรายนั่งเฝ้าเก็บจนกระทั่งถึงรุ่งเช้า  ซึ่งในเดือนมีนาคม – เดือนเมษายน ในช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนอบอ้าวมากๆ  จะมีทัพแมงชีปะขาวบุกขึ้นมาตอมไฟจำนวนมาก  เป็นประจำทุกปี  


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332560289&grpid=01&catid=19&subcatid=1906

 

เหยี่ยวถลาลม : อวสาน "ชายชั้น 7"

เหยี่ยวถลาลม : อวสาน "ชายชั้น 7"

วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16:30:00 น.

Share8




(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 24 มีนาคม 2555)

 

แม้ว่าจะช้าไปหน่อย ปล่อยให้ "ชายชั้น 7" คุกคามข่มขู่โอ้อวดศักดาอาละวาดมาแรมเดือน

แต่ก็ยังดีที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ยอมรับว่า

ชายชั้น 7 มีอยู่จริง !

มีพฤติกรรมซ่อนเร้นเป็นปัญหากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง

ถึงขั้นที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กล่าวว่า "ผมไม่ยอม"

ถึงขั้นที่ "ผบ.ตร." ยอมรับว่า

"คนคนนี้ ทำความหนักใจให้กับผม ผมไม่เอาคนคนนี้" !

แต่ถ้ามองจากอีกฟากหนึ่ง

"ชายชั้น 7" จะบุกรุกขึ้นไปอยู่บนชั้น 7 อาคารแห่งหนึ่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างไร

ในแง่ของ "ชายชั้น 7" จึงอาจรู้สึกคล้าย

"เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล" !!?

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เพียงไม่กี่วันที่คนคนนี้เหยียบย่างขึ้นไปบนชั้น 7 

ก็ "อวดศักดา" !

ตำรวจจะย้ายไป จะยันอยู่ หรือจะเลื่อนสูงขึ้น ต้องโทรศัพท์ หรือไม่ก็ไปพบหน้า"ชายชั้น 7" ผู้ซึ่งอ้างว่าเป็น "ที่ปรึกษา ผบ.ตร."

อ้างว่า สามารถเจรจาแทน ผบ.ตร.ได้ทุกเรื่อง

อ้างว่า เป็นผู้จัดทำ "บัญชีการเมือง" ที่ใช้ในการแต่งตั้ง โยกย้ายตำรวจระดับสารวัตรถึงรองผู้บังคับการ

อ้างว่า จะมาดูแลการจัดสรรและใช้งบประมาณ

กระทั่งนายตำรวจระดับ "พลตำรวจโท" หลายคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ "ชายชั้น 7"ยังโอหังถึงขั้นลั่นวาจาข่มขู่ว่า 

"ให้ระวังตัวเอาไว้ จะเห็นดีกัน" !

ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

"ชายชั้น 7" เป็นของจริง

เพียงแต่เมื่อเนื้อตัว "ชายชั้น 7" ส่งกลิ่นเหม็น เวลานี้ ไม่ว่าใคร ก็ไม่อาจยอมรับว่าเป็น "ขุนพล" ที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ปฏิเสธสิ้นเยื่อใย 

เท่ากับว่าไม่เคยเลี้ยงช้างม้าวัวควาย ทั้งยังไม่เคยใช้ให้ขุนพลไปทำในสิ่งที่ชั่วร้าย

หากปรากฏผู้ใดทำความชั่วร้าย หากินจากการแต่งตั้งโยกย้าย ก็ให้ดำเนินคดีอาญา

จบกัน !?!! 


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332573227&grpid=&catid=02&subcatid=0207

 

บริหารจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ

23 มี.ค. 55 - คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฏร เผย ควรมีหน่วยงานรัฐที่เป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบบริหารจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ พร้อมย้ำการดำเนินการแก้ปัญหาต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย

     คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฏร ที่มีนายการุณ โหสกุล เป็นประธานคณะกรรมาธิการได้มีการประชุมพิจารณาปัญหาแรงงานต่างด้าวที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งกรรมาธิการได้เชิญนายประวิทย์ เคียงผล อธิบดีกรมการจัดหางานในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) เข้าชี้แจงข้อมูลการดำเนินงานต่อคณะกรรมาธิการ โดยจากการรับฟังข้อมูลคณะกรรมาธิการเห็นว่า กรณีปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เกิดขึ้นนอกจากการพิจารณาด้านการบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะให้ความสำคัญในมิติด้านสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่งถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องตระหนักและตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้การบริหารจัดการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยังเห็นว่าจากสถานการณ์การขาดแคลนแรงงานบางประเภทในประเทศไทยขณะนี้เป็นเหตุให้มีความจำเป็นในการจัดหาแรงงานต่างด้าว ซึ่งเมื่อมีการจัดหาแรงงานเข้ามาทำงานแล้ว รัฐควรที่จะมีการดูแลปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตและสุขลักษณะของแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาทำงานภายในประเทศด้วยและควรที่จะมีการจัดทำสถิติข้อมูลของแรงงานต่างด้าวในด้านต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานด้านแรงงานต่างด้าว และในประการสำคัญที่สุดคือ รัฐควรที่จะมีการจัดตั้งหน่วยงานซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบ บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบขึ้นมาดูแลแก้ไขปัญหานี้เป็นกรณีเฉพาะ 

 


เกรียงไกร  หอมจันทร์เทศ  ข่าว / เรียบเรียง

 

จีนตั้งศาสตราจารย์ละอ่อนสุดวัย 22

  วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7686 ข่าวสดรายวัน


จีนตั้งศาสตราจารย์ละอ่อนสุดวัย 22





เมื่อ 23 มี.ค. ไชน่าเดลี่รายงานเปิดตัวนายหลิว หลู อาจารย์มหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในประเทศที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ขณะอายุเพียง 22 ปี

มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลเซาธ์ในเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ตอนกลางของจีน แต่งตั้งให้อาจารย์หลิว เป็นศาสตราจารย์ ทั้งยังให้เงินเป็นของขวัญ 5 ล้านบาท หลังจากอาจารย์หนุ่มชาวเมืองต้าเหลียน เคยสร้างชื่อโด่งดังในแวดวงวิชาการโลกสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 3 เมื่อปี 2553 ด้วยการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่นำเสนอไว้โดยเดวิด ซีทาพัน นักตรรกศาสตร์ชาวอังกฤษเมื่อปี 2533 ซึ่งได้รับคำยกย่องจาก เดนิส เฮิร์ชเฟลด์ ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก บรรณาธิการวารสารซิมโบลิก โลจิก ที่นำผลงานไปตีพิมพ์

อาจารย์หลิว กล่าวว่า รู้สึกกดดันแต่จะเดินหน้าในเรื่องคณิตศาสตร์ที่ตนสนใจต่อไป ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์นั้นตนทำไปด้วยแรงบันดาลใจเฉพาะหน้า และไม่ได้เกิดมาเป็นอัจฉริยะ ความเข้าใจในคณิต ศาสตร์ของตนมาจากการสั่งสมความรู้ ซึ่งสมัยมัธยม ไม่ได้สอบได้คะแนนสูง คะแนนสอบเอ็นทรานซ์อยู่ระดับต่ำและไม่เคยเรียนพิเศษ

ขณะที่นายจาง เหยาซื่อ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเซนทรัลเซาธ์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหวังว่าตำแหน่งทรงเกียรตินี้จะทำให้อาจารย์หลิวเข้าถึงแหล่งงานวิจัยที่สำคัญและแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกได้สะดวกขึ้น

ข่าวการแต่งตั้งศาสตราจารย์หนุ่มกลายเป็นประเด็นร้อนในเว็บไซต์เว่ยป๋อ ไมโครบล็อกยอดนิยมของจีน ผลสำรวจออนไลน์จากประชาชน 8,481 คน พบว่า ร้อยละ 74.7 เห็นด้วย และว่า อายุไม่ใช่อุปสรรคเพราะความสามารถสำคัญกว่า อย่างไรก็ตาม มีถึง 1,274 คน ที่เห็นว่า เป็นความประมาท ไร้การไตร่ตรองและสถาบันทำไปเพราะหวังอยากดัง 

ทั้งนี้ คนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นศาสตราจารย์ในประเทศจีนได้จะต้องจบดอกเตอร์และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมานานอย่างน้อย 15 ปี


หน้า 7

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฮ่องกงจับ'โธมัส ชาน'นักธุรกิจดังติดสินบน คาดบ้านหรูที่ขายให้'ทักษิณ'832 ล.ถูกตรวจสอบด้วย

 

ฮ่องกงจับ'โธมัส ชาน'นักธุรกิจดังติดสินบน คาดบ้านหรูที่ขายให้'ทักษิณ'832 ล.ถูกตรวจสอบด้วย

สื่อต่างประเทศรายงาน โธมัส ชาน  ผู้บริหารของบริษัทซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตีส์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชีย ถูกทางการฮ่องกงควบคุมตัวไปสอบสวนฐานพัวพันติดสินบน   โดยสื่อท้องถิ่นระบุ อาจมีการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของนายชานย้อนหลัง รวมถึง การขายโครงการทาวน์เฮาส์สุดหรู "เดอะ พีค" บนเกาะฮ่องกงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เมื่อช่วงกลางปี ค.ศ. 2007 ด้วยวงเงินเบ็ดเสร็จไม่ต่ำกว่า 210 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือกว่า 832 ล้านบาท...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 20 มี.ค.ว่า โธมัส ชาน ผู้บริหารของบริษัทซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตีส์   บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชีย ถูกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอิสระเพื่อการต่อต้านทุจริต (ไอซีเอซี) ของฮ่องกงควบคุมตัวไปสอบสวน ในฐานะผู้ต้องสงสัยว่า มีส่วนพัวพันกับการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

รายงานข่าวซึ่งอ้างแถลงการณ์เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันจันทร์ (19 มี.ค.) ของซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตีส์ ระบุว่า นายชาน ซึ่งมีชื่อเต็มว่า "โธมัส ชาน กุ้ย หยวน" ซีอีโอของบริษัท ได้ถูกเจ้าหน้าที่ของไอซีเอซีควบคุมตัวไปสอบสวนแล้ว ในฐานะเป็นผู้ต้องสงสัยว่า มีส่วนพัวพันกับการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินในเขต "เกาลูนตะวันตก" ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารสำนักงาน "อินเตอร์เนชันแนล คอมเมิร์ซ เซ็นเตอร์" ความสูง 108 ชั้น (484 เมตร) อันเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง รวมถึงโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกหลายโครงการ

แถลงการณ์ของทางซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตีส์ ยืนยันว่า การถูกควบคุมตัวของนายชานในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกับกิจการและฐานะของบริษัท โดยยืนยันว่า บริษัทซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 และมีมูลค่าทางธุรกิจไม่ต่ำกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.16 ล้านล้านบาทแห่งนี้ จะยังคงเดินหน้าประกอบธุรกิจต่อไปตามปกติ อย่างไรก็ดี ในแถลงการณ์ดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยถึงจำนวนเงินที่นายชานใช้ในการติดสินบนแต่อย่างใด

สื่อท้องถิ่นในฮ่องกงระบุว่า คดีติดสินบนประวัติศาสตร์ของนายชานในครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ทางไอซีเอซี หน่วยงานต่อต้านการทุจริตที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ต้องกลับไปตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของนายชานและซัน ฮุง ไก พร็อพเพอร์ตีส์ "ย้อนหลัง" ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ก็อาจถูกดึงไปเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากนายโธมัส ชาน ผู้นี้ เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการดูแลการขายโครงการทาวน์เฮาส์สุดหรู "เดอะ พีค" ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อช่วงกลางปี ค.ศ. 2007 ด้วยสนนราคาที่สูงถึง 41,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือราว 163,000 บาทต่อตารางฟุต

ด้านหนังสือพิมพ์ชื่อดัง "เดอะ สแตนดาร์ด" ของฮ่องกง ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทุ่มเงินเบ็ดเสร็จกว่า 210 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือกว่า 832 ล้านบาท เพื่อแลกกับการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในโครงการนี้    ซึ่งว่ากันว่า ตั้งอยู่บนทำเลที่มี "ฮวงจุ้ย" ดีที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง

บรรยากาศส่วนหนึ่งภายในโครงการเดอะ พีค

บรรยากาศส่วนหนึ่งภายในโครงการเดอะ พีค

ทั้งนี้ เป็นที่คาดกันว่า นอกเหนือจากการขายทาวน์เฮาส์สุดหรู "เดอะ พีค" ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว   ธุรกรรมทางการเงินจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง ที่มีนายชานเป็นผู้รับผิดชอบ อีกหลายโครงการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจถูกทางการฮ่องกงตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน.

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

20 มีนาคม 2555, 15:10 น.

เศร้า! โลมาพันธ์ุเล็กสุดในโลก เหลือแค่ 55 ตัว เสี่ยงสูญพันธุ์ใน 2-3 ปี

 

เศร้า! โลมาพันธ์ุเล็กสุดในโลก เหลือแค่ 55 ตัว เสี่ยงสูญพันธุ์ใน 2-3 ปี

นักอนุรักษ์ธรรมชาติของนิวซีแลนด์เตือน โลมาพันธ์ุเล็กและหายากที่สุดในโลก มีเหลืออยู่เพียง 55 ตัวเท่านั้น และเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ว่า กลุ่มนักอนุรักษ์ธรรมชาติออกมาเตือนว่า โลมาสายพันธ์ุ ''เมาอิ'' ซึ่งเป็นสายพันธ์ุเล็กที่สุด และหายากที่สุดในโลก กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างมากที่จะสูญพันธ์ุ หลังจากจำนวนประชากรของพวกมันเหลือเพียง 55 ตัวเท่านั้น ลดลงกว่าครึ่งจากการสำรวจครั้งก่อน เมื่อปี 2004

นักอนุรักษ์จากมหาวิทยาลัยออคแลนด์, โอเรกอน และกรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งนิวซีแลนด์ เป็นผู้เปิดเผยผลสำรวจจำนวนของโลมาเมาอิครั้งล่าสุดนี้ เผยว่า ผลการสำรวจตัวอย่างดีเอ็นเอ พบว่า จำนวนของโลมาเมาอิที่มีอายุเกิน 1 ปี เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งของการสำรวจเมื่อปี 2004 ที่พบว่ามีอยู่จำนวน 111 ตัว ขณะที่ ดร.บาร์บารา มาส จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระบุว่า ด้วยจำนวนที่เหลืออยู่เพียง 55 ตัว ทำให้มันถูกจัดเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ใกล้สูญพันธ์ุมากที่สุด และอาจจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีบ่อยครั้งที่โลมาเมาอิติดมากับอวนของเรือประมง ซึ่งถูกโทษให้เป็นสาเหตุการตายหลักของมัน โดยซากของโลมาเมาอิตัวล่าสุด พบเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ โลมาเมาอิที่โตเต็มที่จะมีความยาวเพียง 1.7 ม. และมีน้ำหนักอยู่ที่ 50 กก. ส่วนตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย มีช่วงชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 20 ปี พบอยู่ทางตะวันตกของเกาะเหนือของนิวซีแลนด์เท่านั้น โดยธรรมชาติ โลมาเมาอิจะพร้อมผสมพันธ์ุเมื่อมีอายุได้ 7 ปี และอัตราการตกลูกไม่บ่อยนัก อยู่ที่ 3 ปี ต่อครั้งเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน พบโลมาเมาอิตัวเมียที่พร้อมผสมพันธ์ุเพียง 20 ตัวเท่านั้น

ภาพจาก www.dailymail.co.uk

ภาพจาก www.dailymail.co.uk

 

โดย: ไทยรัฐออนไลน์

22 มีนาคม 2555, 14:50 น.


10 อันดับเมืองเศรษฐี! มอสโกแชมป์-ฮ่องกงคว้าที่ 4 รวยสุดในเอเชีย

10 อันดับเมืองเศรษฐี! มอสโกแชมป์-ฮ่องกงคว้าที่ 4 รวยสุดในเอเชีย

ฟอร์บส์จัดอันดับ เมืองที่มีมหาเศรษฐีพันล้านอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก โดยมอสโกถูกจัดเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย นิวยอร์กซิตี้ ลอนดอน และฮ่องกง...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ว่า กรุงมอสโก ได้รับการจัดอันดับ ให้เป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีพันล้านอาศัยอยู่มากที่สุด โดยนิตยสารฟอร์บส์ ของสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี ตามมาด้วยเมืองนิวยอร์กซิตี้ ของสหรัฐอเมริกา และกรุงลอนดอนของประเทศอังกฤษ ขณะที่มีเมืองจากประเทศในเอเชียติดอันดับหลายเมือง

 

นิวยอร์กซิตี้

นิวยอร์กซิตี้

 

 

 

จากการสำรวจของฟอร์บส์ พบว่า ในกรุงมอสโก มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่ทั้งหมด 78 ราย รวมมูลค่าทรัพย์สินได้ 3.34แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 10.2 ล้านล้านบาท) ขณะที่ในเมืองนิวยอร์กซิตี้ มีคนรวยระดับพันล้านอาศัยอยู่ 57 คน มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 2.28 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7 ล้านล้านบาท) ส่วนที่กรุงลอนดอนมีมหาเศรษฐี 39 คน รวมมูลค่าทรัพย์สินได้ 1.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.1 ล้านล้านบาท) ขณะที่ฮ่องกง จากทวีปเอเชีย ติดในอันดับ 4 มีเศรษฐี 38 คน ทรัพย์สินรวม 8.82 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.7 ล้านล้านบาท)

นอกจากนี้ มหาเศรษฐีทุกคนในกรุงมอสโกยังเป็นชาวรัสเซียทั้งหมด และมีมหาเศรษฐีในประเทศเพียง 18 รายเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในเมืองอื่น ต่างจากกรุงลอนดอนที่เศรษฐีเป็นชาวต่างชาติ และสหรัฐฯ ที่มหาเศรษฐีในประเทศกระจายอยู่ในเมืองหรือรัฐต่างๆ ของประเทศ

 

ลอนดอน

ลอนดอน

 

รายชื่อ 10 อันดับ เมืองที่มหาเศรษฐีอยู่มากที่สุด

1. มอสโก ประเทศรัสเซีย จำนวน 78 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3.339 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 4.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

2. นิวยอร์กซิตี้ สหรัฐอเมริกา จำนวน 57 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.283 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

3. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จำนวน 39 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.337 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 3.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

4. ฮ่องกง ประเทศจีน จำนวน 38 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.545 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 4.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

5. อิสตันบูล ประเทศตุรกี จำนวน 30 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4.87 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 1.62 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

6. เซา เปาโล ประเทศบราซิล จำนวน 19 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 8.82 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 4.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

7.(6ร่วม) โซล ประเทศเกาหลีใต้จำนวน 19 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4.53 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 2.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

8. มุมไบ ประเทศอินเดีย จำนวน 18 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 8.38 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 4.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

9.(8ร่วม) ซาน ฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จำนวน 18 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3.67 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

10. ดัลลัส สหรัฐอเมริกา จำนวน 17 คน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เฉลี่ย 3.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อคน

 

เขตเกาลูน ของฮ่องกง

เขตเกาลูน ของฮ่องกง

 

โดย: ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์

17 มีนาคม 2555, 15:30 น.


 

จี้ สตง.ไล่บี้เรียกคืนเงินจาก กก.สรรหาฯ และ ส.ว.73 คน คาดสูงร่วม 100 ล้าน

 

จี้ สตง.ไล่บี้เรียกเงินคืนจากส.ว.73 คนร่วม 100 ล้าน

"เรืองไกร" จี้ สตง.ไล่บี้เรียกคืนเงินจาก กก.สรรหาฯ และ ส.ว.73 คน คาดสูงร่วม 100 ล้าน หลังพบองค์ประชุมของคณะกรรมการสรรหา ส.ว. ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้การเบิกจ่ายเบี้ยประชุม ไม่ชอบด้วย กม.ด้วย ...

วันที่ 22 มี.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ในฐานะผู้ร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิ์ ส.ว. 31 คน กล่าวว่า ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ร้องขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบและเรียกเงินแผ่นดินคืนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ได้เบิกจ่ายเงินแผ่นดินไปในลักษณะที่อาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาว่า การสรรหา ส.ว. ซึ่งตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย คือนายมนตรี ศรีเอี่ยมสะอาด ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาไม่ใช่ผู้พิพากษาศาลฎีกาตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ ที่บังคับไว้เฉพาะตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาเท่านั้น และในรัฐธรรมนูญมาตรา 219 วรรคสี่ สามารถนำมาเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดว่า ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ไม่ใช่ผู้พิพากษาศาลฎีกาแต่อย่างใด ดังนั้น องค์ประชุมของคณะกรรมการสรรหา ส.ว. จึงประกอบไปด้วยบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญรวมอยู่ด้วย ย่อมทำให้ผลการสรรหาเป็นไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า นอกจากผลของการกระทำอาจจะเป็นโมฆะเสียเปล่า แล้วการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมของคณะกรรมการสรรหาทั้งคณะตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 132 ย่อมไม่ถูกต้อง และไม่ชอบตามไปด้วย จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่า สตง. และ สตง. สมควรจะต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเรียกคืนเงินแผ่นดินจากกรณีดังกล่าวต่อไป รวมถึงควรเข้าไปตรวจสอบและเรียกคืนเงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุมกรรมาธิการ หรืออนุกรรมาธิการ และเงินค่าใช้จ่ายในการศึกษาดูงานที่ถูกเบิกจ่ายไปจาก ส.ว.ทั้ง 73 คน กลับมาเป็นเงินของแผ่นดินต่อไปโดยเร็ว ซึ่งน่าจะมีมูลค่าร่วม 100 ล้านบาท โดยคำนวณได้จากการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ว.ทั้ง 73 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่มาเกือบ 1 ปี.

โดย: ทีมข่าวการเมือง

23 มีนาคม 2555, 03:40 น.


สำนักการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ณ อาคาร DMS 6

 
"คลินิกการแพทย์ทางเลือกเปิดให้บริการแล้ว" PDF พิมพ์ อีเมล

ตั้งแต่ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ณ อาคาร DMS 6

สำนักการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

สำหรับผู้แสวงหาทางเลือกในการดูแลสุขภาพ โดยจัดให้มีการบริการด้านการแพทย์ทางเลือก เช่น ฝังเข็ม โฮมีโอพาธีย์ พลังบำบัด

ปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย กดจุดบำบัด กดจุดสะท้อนเท้า เป็นต้น

ท่านใดสนใจจองคิวรับบริการหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่มได้ที่ คุณพนิดา/คุณวรรณธณา ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-965-9194 ต่อ 111,112

เอกสารที่เกี่ยวข้อง