วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

" รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึง 6 ตุลาคม 2519 "


" รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถึง 6 ตุลาคม 2519 "


1..........
ภาพนี้อยู่ในความทรงจำผมเสมอมา
ภาพที่คนไทยฆ่ากันเองด้วยความเกลียดชัง
......................................................
บ่ายวัน 7 ตุลาคม 2519
เสียงเรียกของพ่อผมเรียกผมให้เอาหนังสือพิมพ์ในเช้าวันนั้นหลายๆฉบับ
มาเผาทิ้งที่หลังบ้านตามคำสั่งของคณะปฎิวัติในขณะนั้น
ที่ให้ทำลายสิ่งพิมพ์ทุกชนิดทิ้งที่มีข้อความหรือรูปอันใด
ที่เกียวกับสถาบันและขบวนการนักศึกษาในช่วงที่ผ่านมา
มิเช่นนั้นจะถูกข้อหาการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคง
หรือพูดง่ายว่าเป็นพวกแดง พวกคอมมิวนิสต์
เราเผาจนหมดเพื่อแน่ใจว่าครอบครัวของเราจะปลอดภัยพอ
.....................................................
ช่วงนั้นมีเพื่อนของพ่อหลายคนแวะเวียนมาพูดคุย
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของลูกๆของเขาที่เป็นนักศึกษาต้องหนีเข้าป่า
ผมรับรู้สึกถึงแรงกดดันของทหารที่กระทำต่อประชาชนอย่างลึกๆ
แม้จะยังอายุน้อยแต่ก็โตพอจะทราบความบางอย่าง
ว่าพ่อแม่และลุงป้าอีกหลายคนเป็นทุกข์อย่างมาก
ทุกคนพยายามสืบหาความเป็นตายร้ายดีของพวกเขา
ผมได้แต่สงสัยอยู่ในใจและมีความรู้สึกที่สะเทือนใจกับเหตุการณ์นั้นอย่างไม่เคยลืม
และไม่เคยคิดที่จะให้อภัยต่อผู้อยู่เบื้องหลังกระทำการครั้งนั้น
................................................................
4-5 ปีต่อมา
ที่ท่ารถในจังหวัดจันทบุรี
" อย่าไปยุ่งกับการเมืองนะลูก "
" อย่าไปประท้วงกับเขานะลูก"
" ตั้งใจเรียนหนังสือ "
แม่กับพ่อพูดด้วยเสียงกังวลและเป็นห่วงในวันที่
ผมต้องออกจากบ้านมาไกลเพื่อเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพเป็นครั้งแรก
ที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ที่ข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2..................
จริงๆ ชีวิตที่วิทยาลัยช่างศิลป์ หรือโรงเรียนเตรียมศิลปากร ในสมัยก่อน
ก็ไม่ได้สอนอะไรกับเรามากนักเกี่ยวกับเรื่องการเมืองว่าเกี่ยวข้องกับศิลปะอย่างไร?
ส่วนใหญ่ก็สอนให้เรา Study ธรรมชาติและก็เรียนรู้พื้นฐานทางศิลปะอย่างเข้มข้น
.........................................................................................
เย็นวันหนึ่งในที่ 6 ตุลาคม 2523
ผมกำลังจะไปดูงานที่หอศิลป์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผมเดินผ่านต้นโพธิ์ใหญ่ที่กำลังจะทะลุออกไปท่าพระจันทน์และท่าช้าง
ผมเห็นรุ่นพี่ธรรมศาสตร์กลุ่มเล็กๆ กำลังอ่านบทกวีและรำลึกผู้ที่จากไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ไอ้ภาพเก่าๆ ที่มันหลบซ่อนอยู่ในห้วจากการทหารสั่งทำลาย ก็กลับมาเยือนอีกครั้ง
" พี่ครับผมอยากรู้ความจริง ว่าใครทำให้ประชาชนฆ่ากัน"
................................................................................................
เย็นวันเลยไม่ได้ไปดูงานศิลปะเลยเพราะได้หนังสือหลายเล่มจากพี่ๆ กลับไปอ่านที่บ้านแทน
ปลายปีนั้นเริ่มจะมีข่าวดีว่าจะมีการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้หลบหนีเข้าป่า
ผมก็ดีใจนะ เพราะว่าเราจะเจอพี่ๆ กันเสียที หลังจากกันไปเป็นปี
.............................................................................................
จากนโยบาย 66/23 ของเปรม ติณสูลานนท์
หลายคนได้กลับบ้านและเรียนหนังสือต่อ
จนพัฒนามาเป็นตัวละครในสังคมอีกหลายตัว
ที่มีส่วนที่ทำให้สังคมไทยไปเป็น 6 ตุลารอบสอง
....................................................................................
หล้งจากนั้นบ้านเมืองก็ยังมีการปฎิวัติและรัฐประหารก็ยังมีอยู่อีกหลายครั้ง
แต่ส่วนความขัดแย้งมักเกิดขึ้นกับทหารกัดกันหรือแย่งอำนาจเอง
และมักจะจบลงที่การกล่าวหาว่าใครจงรักภักดีและใครไม่จงรักภักดีกว่าใครเสมอ
แต่มันไม่ได้กระทบสู่ชีวิตประชาชนโดยส่วนใหญ่ของประเทศ
เพราะเรามีแต่รัฐบาลที่มันง่อยและอยู่ภายใต้การกำกับของทหาร
การแย่งชิงอำนาจจึงมักเป็นเรื่องของคนกลุ่มบนเสียส่วนใหญ่
เป็นเรื่องของทหารล้วนๆ
............................................................................
หลายปีมานี้ผมเกือบจะหมดความสงสัยแล้ว จนกระทั่ง ...........................
3...................
" ผมพอแล้ว "
คำกล่าวของเปรม ติณสูลานนท์ ในวันที่ลงจากอำนาจ
หลังจากอยุู่บนบัลล้งค์อำนาจมา 8 ปี ที่ต้องต่อสู้รบราฆ่าฟันกับน้องๆ ในกองทัพเสมอ
....................................................................................
ในที่สุดเราก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ชื่อ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
ขณะนั้นผมกำลังจะจบการศึกษาที่คณะจิตรกรรม ม.ศิลปากร
ผมรู้สึกเหมือนกับนักศึกษาทั่วๆ ไปที่ไม่ค่อยไว้ใจในนักการเมืองมากนัก
....................................................................................
แต่พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า
นายกคนนี้มีวิสัยทัศน์ และดูเหมือนประชาชนในต่างจังหวัด
ก็รักใคร่ท่านมากมายคล้ายๆ กับทักษิณในสมัยนี้
กล่าวง่ายๆ เป็นคนที่มีไอเดียและทำงานรวดเร็วแต่ก็มีข้อเสียหลายอย่างเหมือนกัน
แต่โดยรวมก็ได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่การเมืองไทยในะดับหนึ่งทีเดียว
....................................................................................
หลังจากบริหารประเทศไปสักสองปีกว่าก็มีการร้ฐประหารเกิดขึ้นอีก
ด้วยข้อหาเดิมๆ โกงกินคอร์รัปชั่นและไม่จงรักภ้กดี
และยังมีการทะเลาะระหว่าง จปร.ด้วยกันแย่งกันเป็นใหญ่
....................................................................................
ผมสงสัยว่าอำนาจประเทศนี้
มันเป็นของพวกมึงไม่ใช่ของกูที่เป็นประชาชน
....................................................................................
ผมจึงออกไปเดินถนนเรียกร้องประชาธิปไตยในเดือนพฤษภาคม 2535
....................................................................................
เสียงกระสุนลอยช้ามหัว ภาพคนตาย 
ภาพทหารของสุรยุทธ์ จุลานนท์กระทืบคน
ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดและเจ็บใจเสมอเป็นการต่อสู้ที่ว่างเปล่ามากๆ
ในที่สุด เราก็ได้รัฐบาลจับเสือมือเปล่า ที่กล่าวหาจำลองศรีเมืองพาคนไปตาย
คือพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล
....................................................................................
ผมขอสารภาพด้วยความที่ยังไม่โตมากในขณะนั้น รู้สึกผิดหวัง
เราไม่เข้าใจและตกเป็นเครื่องของคนที่ต้องการอำนาจฉวยโอกาสในทางการเมือง
....................................................................................
ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่เดินบนถนนเรียกร้องประชาธิปไตยให้ใครอีก.

4.......................
" พี่แมวเป็นเสื้อแดงหรือ ? "
" พี่แมวรักทักษิณเหรอ ? "
หลายปีที่ผ่านมาหลังพฤษภาทมิฬ
คลื่นลมในประเทศนี้ก็ดูสงบเงียบดี
ไม่ว่าเราจะได้รัฐบาลเต่าดีแบบชวนเชื่องช้าแต่โกงแบบเทพเทือก
หรือรัฐบาลแบบบรรหารหรือแบบชวลิตเราก็อยู่กันมาได้ 
ทั้งที่นักการเมืองเหล่านี้เล่นการเมืองตั้งแต่ครั้งที่ผมยังเป็นเด็ก
ไม่เคยทำให้ประเทศชาติไปถึงไหนเสียที โคตรโกงทั้งนั้น
แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะไปขับไล่พวกเขาลงจากเก้าอี้แต่อย่างใด
เพราะถือคติว่า คนส่วนใหญ่เลือกกันมามันย่อมสะท้อนความคิดคนเลือก
ผมจึงทำงานหาเลี้ยงชีพไปโดยไม่ได้คิดมากเรื่องการเมืองแต่อย่างไร
....................................................................................
หลังที่ประชาชนในประเทศนี้ได้ตัดสินให้พรรคไทยรักไทยได้จัดตั้งรัฐบาล
เราก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร
ผมก็เหมือนคนอื่นๆ ที่ขาดแรงจูงใจเกี่ยวกับการเมือง
เลือกตั้งไปก็เท่านั้น ก็ได้นักการเมืองแบบเดิม ผมจึงไม่เลือกใคร
....................................................................................
แต่หลังจากที่ทักษิณบริหารไปสักสองปี
ผมพูดกับเพื่อนว่า ทักษิณมันได้สร้างมาตราฐานใหม่ในการบริหารประเทศ
คือทำตามนโยบายที่สัญญากับประชาชน ที่สำคัญดันทำสำเร็จ
แต่เรายังไม่วางใจในเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือได้มากนัก
ผมคิดแบบฝันหวานว่า การตรวจสอบที่เข้มข้นของภาคประชาชนนี่แหละ
ที่จะทำให้เราได้นายกที่มาตราฐานในการทำงานแบบทักษิณ
แต่มีความโปร่งใสในการบริหารบ้านเมืองกว่าในอนาคต
....................................................................................
เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเลือกตั้งครั้งต่อมา
เมื่อเขาบริหารประเทศได้ครบสี่ปีเป็นคนแรก
คะแนนที่ผมมี จึงเป็นของเขาเป็นครั้งแรก
....................................................................................
เสียงของประชาชนค่อนประเทศที่มอบให้เขานั่นแหละ
ที่นำภัยร้ายแรงมาสู่ชีวิตของเขา
ความเก่งกับความรักที่ประชาชนมีให้เขา
เริ่มไม่เข้าตาใครบางคนในประเทศที่ละครอิจฉาริษยาล้นเมือง
การก่อตัวของกลุ่มอำนาจและพรรคการเมืองจัญไรแบบประชาธิปัตย์
ที่เคยเกาะกุมผลประโยชน์อย่างเงียบๆ
บรรยากาศมันช่างเหมือนกับ 6 ตุลาคม 2519 จริงๆ
มีการปลุกระดมทั้งเรื่องโกงกินและความไม่จงรักภักกดี
ทั้งก่อนหน้าไม่กี่วันคนไทยยังใส่เสื้อเหลืองเต็มพระบรมรูปทรงม้ากันอยู่เลย
....................................................................................
ผมชักสงสัยว่าอำนาจในประเทศนี้
ที่บอกว่าเป็นประชาชนหลังพฤษภาทมิฬน่าจะโดนแหกตา
เพราะกลุ่มอำนาจที่เผยโฉมมามันคือกลุ่มอำนาจโบราณเดิมๆ
แต่ในใจก็คิดยุคนี้ใครแม่งจะปฎิวัติวะ
....................................................................................
และแล้ววันที่ 19 กันยายน 2549 ก็เดินมาถึง................
5........................
" ปฎิวัติเสียทีก็ดีประเทศแม่งจะได้สงบ"
" ตลกดีวะ ลุงแม่งเอาแท๊กซี่ไปชนรถถัง "
" ไอ้พวกเหี้ยทาสเงินทักษิณ "
คืนวันที่ 19 กันยายน 2549
ไม่มีใครมีจิตใจทำงานหรอก
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่โทรทัศน์อันดำมืด
และรอคอยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
..................................................
ระหว่างที่ผมขับรถกลับบ้าน
ละครที่ผู้มีอำนาจสบคบกับสื่อและปัญญาชนอีกหลายคนเพื่อไล่ทักษิณตบตาผมไม่ได้หรอก
ผมสงสัยประเทศห่านี้เกิดอะไรขึ้น?  แล้วกูจะต้องทำอย่างไร?
อยู่เฉยๆ ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินและยอมรับมันไป
หรือจะออกไปประท้วงเพื่อบอกมันว่ากูเกลียดการรัฐประหารเหลือเกิน
..................................................
วันรุ่งขึ้นอีกวันขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้านผ่านสยามสแควร์
ผมเห็นกลุ่มคนเล็กๆ ยืนแจกใบปลิวและพูดโทรโข่งโจมตีการปฎิวัติรัฐประหารอยู่ 
เขาคือ ใจ อึ้งภากรณ์ กับนักศึกษาของเขาจำนวนหนึ่ง
.....................................................................
วินาทีนั้นผมก็ตัดสินใจได้แล้ว 
คือหันหน้าต่อสู้กับเผด็จการกับความจอมปลอมในประเทศอีกครั้ง
ไม่ใช่เพื่อทักษิณ หรือเพื่อผม แต่เพื่ออนาคตของลูกๆ เรา
เราไม่ควรยอมให้พวกเขาย่ำยีประเทศอย่างนี้อีกต่อไป 
..................................................................................
วันเสาร์แรกหลังจากการปฎิวัติผมได้ไปที่สนามหลวง
โดยหวังว่าจะเจอใครสักคนที่ไม่เห็นด้วยการรัฐประหารคล้ายๆ กับเรา
เมื่อมองไกลผมเห็นความว่างเปล่าของสนามหลวง 
แต่เมื่อเดินไปใกล้ๆ จึงเห็นมีคนจับกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย
ด้านเหนือของสนามหลวงมีกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ 
ของสุชาติ นาคบางไทรและมีดา ตอร์ปิโด กำลังยืนปราศรัยอย่างเอางานเอาการ 
และก็ได้เจอกับ คุณ บก.ลายจุด เป็นครั้งแรกซึ่งก็มีกลุ่มของตัวเอง
ที่ต่อมากลายเป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
และกลายเป็นสีสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับเผด็จการต่อมา
ด้านทิศตะวันออกมี คุณวรัญชัย โชควัฒนะ 
และยังได้เจอนักร้องเพื่อชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจ
และซื่อสัตย์ต่อวิญญานต้วเองเสมอๆ ในการต่อต้านเผด็จการอย่าง
พี่ จิ้น กรรมาชน ที่ทั้งแต่งเพลงและร้องเพลงให้กำลังใจกับผู้ชุมนุม
และที่สำคัญผมได้เจอน้องรักคนหนึงโดยไม่คาดฝัน
เขาได้เคียงบ่าเคียงไหล่ในการต่อสู้เผด็จการทุกอาทิตย์ 
แต่ปัจจุบันนี้เขากลับไม่มีโอกาสอยู่บนแผ่นดินแม่ที่เขารัก
..................................................
จากกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในวันนั้น
จนถึงวันนี้ที่จะครบรอบ 5 ปีแห่งการรัฐประหาร 
ขบวนของประชาชนที่คุณตราหน้าว่าเขาโง่ 
และเป็นทาสทักษิณ นั้นเติบโตไม่หยุด
เพราะคุณผลักคนอย่างผมและใครอีกหลายคน
ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
ให้ไปอยู่ในฝั่งที่คุณเรียกว่าพวกไม่รักชาติ
....................................................................
ปลายเดือนกันยายนปีนั้นมีข่าว มีคุณลุง เอารถแท๊กซี่ไปชนรถถัง
และเจ้าของแท๊กซี่คนนั้นได้ผูกคอตายพร้อม
ข้อความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร
ที่ใต้สะพานหน้า สนพ.ไทยรัฐในเดือนถัดมา
..................................................
หลายคนอาจมองว่ามันตลกและเป็นการกระทำที่ดูโง่ สุดโต่ง
แต่ผมอยากบอกคุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ 
ว่าผมเข้าใจในความรู้สึกนั้น
และรู้ว่าคุณลุงต่อสู้เพื่ออะไร?
ขอคาราวะจากใจของคนที่มีความรู้มาก
แต่กล้าหาญน้อยกว่า.
..................................................
 
6......................
" พวกรักทักษิณกับพวกไม่รักทักษิณ "
" พวกรักในหลวงกับพวกที่ไม่รักในหลวง "
" พวกรักชาติกับพวกไม่รักชาติ "
" พวกกูคนไทยกับพวกมึงไม่ใช่คนไทย "
ก่อนหน้าการปฏิวัติ 19 กันยยายน 2549
ผู้คนส่วนใหญ่ในประทศนี้ก็พร้อมใจกันใส่เสื้อเหลือง
และยิ้มแย้มที่จะได้ออกไปเฉลิมพระเกียรติให้แก่ในหลวงกันอย่างพร้อมหน้า
โดยไม่มีการแบ่งแยกสีมาก่อน 
........................................................................................
แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีการก่อตัวของฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณ
โดยมุ่งโจมตีในประะเด็นว่าไม่จงรักภักดีและ
ใช้สีเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้
นับว่าเป็นกลยุทธที่ฉลาดในการผลักดันให้ทักษิณไปเป็นศัตรูกับสถาบัน
นี่ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงสำหรับทุกคนในประเทศนี้
.......................................................................................
ทำให้ผมย้อนความคิดกลับในยุคของการปราบปราม
นักศึกษาในสมัย 6 ตุลาคม 2519
เหตุหนึ่งในนั้นคือการหมิ่นสถาบัน
มีการปลุก ระดมอย่างบ้าคลั่งให้ออกมาทำร้ายฝ้ายตรงข้าม
จากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเพื่อสร้างความชอบธรรม
ให้กับการสังหารหมู่ในครั้งนั้น
.......................................................................................
คำถามคือ
คุณจะให้ประชาชนที่รักทักษิณและรักในหลวงทำอย่างไร?
ในเมื่อคุณบีบบังคับให้เขาต้องเลือกข้างเสียแล้ว
ใครกันแน่ที่ทำลายสถาบัน?
.......................................................................................
ดาวสยามเมื่อ 2519 กับ ASTV เมื่อ2549
ทำหน้าที่ไม่ต่างกันแม้จะต่างยุคสมัยกัน
ยังคงทำหน้าที่แบ่งฝักฝ่ายอย่างแข็งขัน
แต่เป็นที่น่าเสียใจคือ ASTV ในยุคนี้เต็มไปด้วย
อดีตนักศึกษาที่เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายในปี 2519 มาแล้วทั้งสิ้น
.......................................................................................
ความจอมปลอมและความฉ้อฉลของปัญญาชนพวกนี้เอง
ที่เป็นสะพานทอดให้ทหารเดินเข้ามารัฐประหารฆ่าประชาธิปไตยอย่าง่ายดาย
.......................................................................................
ผมนึกถึงวันที่ผมต้องเผาหนังสือต่างๆ
ที่เป็นภัยของความั่นคงตามคำสั่งทหารกับพ่อเมื่อหลายสิบปีก่อน
ผมเดินไปหยิบหนังสือของหลายคนที่ผมคิดว่า
ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นแรงบันดาลใจและฮีโร่ในวัยเด็กของผม
ในการต่อสู้กับเผด็จการมาเผาทิ้งอย่างไม่ใยดี
ผมว่าผมหมดศรัทธากับมันแล้วและครั้งนี้ไม่มีใครบังคับผม
.......................................................................................
เวลาอาจเปลี่ยนเราหลายเรื่องก็จริง
แต่จริงหรือที่คนเราสามรถทรยศต่อจิตวิญญานของตัวเอง
และวิญญานของผู้ที่ตายจากไปมากมายในเหตุการณ์ 6 ตุลาและพฤษภาทมิฬได้หรือ
.......................................................................................
ไม่ว่าจะกี่ปีความคิดที่จะไม่ชอบการปฏิวัติ
และรัฐประหารไม่เปลี่ยนจากใจผมเลยแม้แต่น้อย
.......................................................................................
ในที่สุดผู้คนหลายคนก็ผลักให้ผมมาอยู่ใน
ฝั่งที่รักทักษิณและเกลียดพ่อและไม่รักชาติ
จากการคิดเห็นต่างของผม
.......................................................................................
ผมสงสัยว่า
โลกนี้มันมีทั้งเรื่องรักและไม่รักเสมอ
และขัดแย้งกันเสมอ
ทำไมต้องให้ผมเลือกข้าง
ให้ผมอยู่กับความขัดแย้งด้วยเหตุด้วยผล
แบบอารยะชนไม่ได้หรือ.
.......................................................................................
5 ปีมานี้ไม่วันไหนที่ผมไม่เสียใจที่อยู่ในประเทศนี้.
7...........................
หลังประกาศว่ามีการปฎิวัติ 19 กันยายน 2549
การสื่อสารประเทศนี้ก็ดับไปพร้อมกับชีพจรของประเทศ
.................................................................................
ผมอยากจะคุยกับใครสักคนเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความคิดโง่ที่ว่า ยุคนี้ไม่มีใครปิดกั้นการสื่อสารได้อีกต่อไป
ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะจริง เพราะเวบที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์
ประเภท กิน แดก เที่ยว ก็ยังรับใช้ชีวิตผู้คนตามปกติ
.................................................................................
แต่เว็บบอร์ดที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองนี่สิ หายวับไปกับการปฎิวัติ
เว็บบอร์ดทางการเมืองเกือบทุกเวบต่างปิดตัวเอง
ที่น่าเสียใจที่สุดคือ พันทิพห้องราชดำเนิน
ผมคิดมาตลอดว่า ที่นี่น่าจะเป็นที่ๆ ชุมนุมของคนหัวใจประชาธิปไตยในประเทศนี้
และเป็นพลังเล็กๆ ที่จะต่อต้านการรัฐประหาร
และเจ้าของน่าจะเป็นคนที่มีหัวใจประชาธิปไตยและมีความกล้าหาญ
แต่เอาเข้าจริง เจ้าของนี่ขี้ขลาดกว่าใครเพื่อนเลย
เขาเลือกที่จะปิดและเซ็นเซอร์ตัวเอง
.................................................................................
ในขณะที่กำลังสับสนและต้องการข่าวสารอย่างมาก
แต่ดูเหมือนจะมีโชคนิดหน่อยก่อนที่เขาจะเซ็นเซอร์ตัวเอง
มี Post เล็กๆ บอกว่าให้ไปแสดงความคิดเห็นที่เว็บประชาไทกัน
นับจากนั้นผมก็ไม่เคยไปเหยียบพันทิพอีกเลย
.................................................................................
แนวรบของคนที่รักประชาธิปไตยเกิดขึ้นที่จุดนี้
ทำให้ผมได้รู้ว่ายังมีนักวิชาการที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อตัวเองอีกหลายคน
เช่นอ.สมศักด์ เจียมฯ อ.วรเจตน์ อ.พิชิต และ อีกหลายท่าน
อีกทั้งทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนพี่น้องอีกหลายคนที่เกลียดการรัฐประหารก็จากที่นี่
.................................................................................
นับตั้งแต่ทักษิณขึ้นครองอำนาจ
มันทำให้ผมเห็นเนื้อแทัที่มันจอมปลอมภายใต้หน้ากากของ
วีรบุรุษวีรสตรีเดือนตุลาหลายคนที่ ขี้ขลาดและสอพลอ
จนการปฎิวัติเกิดขึ้น วีรบุรุษเหล่าก็ตายไปจากใจผมตลอดกาล
.................................................................................
ห้าปีมานี้ มีหลายคนที่เป็นฮีโร่และกล้าหาญ
ที่ยืนหยัดอยู่บนความยุติธรรมหลายคน
แต่คนหนึ่งที่ผมอยากยกย่องเธอจากใจของผมก็คือ
คือผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ยืนหยัดที่จะเปิดพื้นที่ทางความคิดนี้
ให้พวกเราได้มีที่การแสดงออกความคิดเห็น 
ในยามที่บ้านเมืองถูกกฏหมายเผด็จการควบคุมอยู่
การกระทำอันกล้าหาญของเธอทำให้เธอถูกจับ
จากความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
...............................................................................
เธอคือคุณจีรนุช เปรมชัยพร แห่งประชาไท
...............................................................................
ผมไม่เคยรู้จักเธอมาก่อนแต่ก็รับรู้ได้ว่าเธอต่อสู้เพื่อพวกเราไม่น้อย
สิ่งที่เธอทำได้ขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนให้เติบโตอย่างไม่เคยมีมาก่อน
นี่นับว่าเป็นคุณูปการณ์ต่อประชาธิปไตยในอนาคต
ผมคิดว่าเธอคือฮีโร่อีกคนหนึ่งในใจผมเสมอ
...............................................................................
ขอบคุณนะครับที่ช่วยเปิดแสงสว่างทางความคิด
ในวันที่มืดที่สุดของระบอบประชาธิปไตย.
     
8...................
" บก.ลายจุด"
" คนอะไรวะชื่อประหลาดดี "
" แล้วทำห่าอะไรมั่ง "
ผมได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรกในเวบบอร์ดพันทิพห้องราชดำเนิน
ก่อนปฎิวัติสักเล็กน้อย รู้เพียงแต่ว่าเขาเป็น NGO ทำงานเกี่ยวกับเด็ก
แต่ก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้สนใจความคิดบนคอมเม้นต์ของเขามากนัก
เพราะเข้าพันทิพมั่งไม่ได้เข้ามั่ง เลยไม่ได้ตามความคิด
..............................................................................
จนวันเสาร์แรกหลังจากการปฎิวัตื19 กันยายน 2549 
ผมได้เจอเขาเป็นครั้งแรกเขายืนบนเวทีเตี้ยๆ และกำลังปราศัยต่อต้านเผด็จการอยู่
ซึ่งต่อมากลายเป็นกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
และสีแดงก็กลายเป็นสีสัญญาสักษณ์ในการต่อสู้
เขาเป็นคนแปลกจากนักปราศัยคนอื่นกล่าวคือ
เขาหน้าตาแบบดูดีมีอันจะกิน เป็นคนจีน
แต่สุภาพฉลาดมีอารมณ์ขันและวิธีพูดก็มีความเป็นวิชาการ
ต่างจากผู้ปราศัยท่านอื่นที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
และต้องส่งเสียงปลุกเร้าผู้ฟังตลอด
.............................................................................
ในใจก็คิดสู้อย่างนี้กับทหารแล้วมันจะรอดเหลือวะอีกกี่ชาติถึงจะสำเร็จ
และก็ออกจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของบก.ลายจุดเท่าไรนัก
คือมันใช้เวลานานกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง
............................................................................
ความคิดที่ว่าของแกก็คือเขาอยากจะปลูกความคิดและสร้างโรงเรียน
ที่สอนประชาธิปไตยให้กับคนรากหญ้า เพื่อเป็นพล้งในการต่อต้านเผด็จการ
ความคิดนี้ดูท่าทางต้องใช้เวลายาวนานในการจะได้ประชาธิปไตยคืน
..............................................................................
แต่ผมว่าด้วยความหลักแหลมของบก.ลายจุดนี่แหละ
4-5 ปีที่ผ่านมาในช่วงที่อำมาตย์หลงระเริงในอำนาจ
การก่อต้วของโรงเรียนประชาธิปไตยในความคิดของบก.ลายจุด
หรือที่รู้จักในนามโรงเรียนประชาธิปไตยแกนนอน
ทำให้พลังในการต่อสู้ของประชาชนเติบโตอย่างรวดเร็ว 
นี่ก็เป็นคุณูปการณ์และเป็นรากฐานต่อประชาธิปไตยในอนาคตไม่น้อยเลย
..............................................................................
ตั้งแต่วันที่มีคนไม่ถีง 500 คน
ที่ยืนฟังการปราศรัยที่ท้องสนามหลวงจนถึงวันนี้
ผมเชื่อโรงเรียนประชาธิปไตยที่บกลายจุดทำ
น่าจะเป็นโรงเรียนที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยจุฬาหรือธรรมศาสตร์
ที่เราเคยคาดหวังว่าจะเป็นธงนำในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและผู้คนที่ยากไร้กว่า
เพราะมันได้ปลูกความรู้บนคนจริงๆ และได้ออกดอกผลมาเป็น
คนที่รักประชาธิปไตยเกลียดเผด็จการรัฐประหารอย่างมากมาย
ทั้งเขาเหล่านั้นก็คือคนโง่ในสายตาของคนเมือง
..............................................................................
อยากจะบอกว่าดีใจที่ผมมีส่วนช่วยงานแม้จะเล็กน้อยก็ตามและร่วมต่อสู้มาด้วยกัน
ขอบคุณนะอาจารย์สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ของน้องๆ
9.........................(สุดท้าย.)
" พี่ๆ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร "
" พี่ๆ แล้วทหารจะปฏิวัติอีกมั้ย? "
" พี่ๆ แล้วจะแบกประเทศกันอยู่มั้ย? "

ตอนเด็กๆ ผมโตมากับเพลง Blowin' in the wind.แต่งและร้องโดย Bob Dylan
ในยุคสมัยที่มีการปราบปรามนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519
และสงครามเวียดนามเหนือ-ใต้ที่รบกันกำลังวิกฤต
โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นคู่สงคราม
........................................................................................
The answer, my friend, is blowin' in the wind,
The answer is blowin' in the wind.
........................................................................................

ผมอยากจะบอกว่าคำตอบมันอยู่ในสา
ยลมเพื่อนเอ๋ย
ไม่มีใครรู้ว่ามีคำตอบในอนาคตจะเป็นอย่างไร
จะเป็นแบบเวียดนามเหนือ-ใต้ หรือเปล่าไม่มีใครรู้

........................................................................................

วันนี้เป็นวันที่ 19 กันยายน 2554
ครบรอบ 5 ปีรัฐประหาร
ฟ้าที่เราเฝ้ามองว่าวันหนึ่งมันจะสดใส
ก็ยังคงมีเงาทมึนของการแก่งแย่งอำนาจมาบดบังอยู่

..............................
..........................................................
5 ปีมานี้ ตั้งแต่การรัฐประหารเกิดขึ้น
ผมคิดว่าประเทศของเราแตกไปเรียบร้อยแล้ว
ประเทศนี้ถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายจากความเกลียดชัง
และคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่างๆ นาๆ
ด้วยน้ำมือของคนไทยเอง
การไม่ยอมรับความคิดที่ต่าง
การไม่ยอมรับในเสียงส่วนใหญ่
การคิดว่าตัวเองฉลาดและรู้เท่าทันกว่า
สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยถูกแบ่งออก
เป็นประเทศที่รักทักษิณและประเทศที่ไม่รักทักษิณ
เป็นประเทศที่พวกรักชาติอยู่กันและประเทศที่ไม่พวกรักชาติอยู่
........................................................................................
เราเอาทุกอย่างเข้าแลกจริงๆ
เราสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมายไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม
........................................................................................

ผมสูญเสียเพื่อนพี่น้องและคนที่
รู้จักไปมากมายหลายคน
บ้่างก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์รุนแรง
บ้างก็จากแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน
บ้างก็จากกันเพราะทัศนคติทางการเมืองไม่ตรงกัน
ทั้งจากเหลืองหรือพวกหลากสี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังรักและเป็นห่วงเสมอๆ
........................................................................................
แต่ในขณะเดียวกัน
ผมก็ได้พบเพื่อนพี่น้องใหม่อีกหลายคน
บ้างเป็น ดารา กวี นักเขียน เป็นศิลปิน
บ้างเป็นสื่อมวลชน เป็นครู เป็นอาจารย์
บ้างเป็น NGO เป็นผู้กำกับ นักทำหนัง
บ้างเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพแห่งการเป็นมนุษย์
บ้างเป็นนักศึกษาหัวก้าวหน้า บ้างเป็นหมอ...ฯลฯ
รวมไปถึงชาวบ้านและผู้นำความคิดอีกหลายท่าน
ที่มีห้วใจที่รักในประชาธิปไตยเหมือนกัน
........................................................................................
สุดท้ายอยากบอกพ่อกับแม่ว่า
สิ่งที่แม่กับพ่อปลูกฝังผมมาหลายปี
ว่าต้องเป็นคนมีใจเป็นธรรม
และช่วยเหลือคนยากไร้กว่า
ผมขอบคุณนะครับ
เพราะมันทำให้ผมเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติ
........................................................................................

สุดท้ายสุดๆขอบคุณทุกคนที่อ่านมั
นและหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

 
ปล. อาชีพดั้งเดิมผมเป็นคนที่เขียนรูปและคิดงานครีเอทีฟ
ไม่ค่อยชำนาญในการเขียนหนังสือยาวๆ นัก แต่ดัดจริตอยากเขียน
การเขียนครั้งนี้เขียนจากใจอยากจะบันทึกให้คนรุ่นใหม่ได้รู้
และอุทิศให้กับผู้ที่เสียชีวิตต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยทุกคนในทุกยุคสมัย 
บทความทั้ง 9 ตอน.ใช้เวลาเขียน 2 วัน คือวันที่ 18-19 กันยายน 2554 
ดังนั้นคำต่างๆจะผิดและตกหล่นจำนวนมาก ขออภัยและขอบคุณมา ณ ที่นี้
........................................................................................

ที่มา:Prakit Kobkijwattana