วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทีโอทีปักหมุดหอการค้าไทย มหาวิทยาลัย 3G เต็มรูปแบบ

ดร.กำธร ไวทยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที
       ทีโอที ปักหมุดมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นมหาวิทยาลัย 3Gแห่งแรกของประเทศ พร้อมลงTOT 3G Shop ตอบโจทย์การเรียนการสอนแบบไฮบริด ขณะที่หอการค้าเตรียมแจกไอแพด 3G ให้นักศึกษาใหม่ปีหน้า
       
       ดร.กำธร ไวทยกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที กล่าวว่าทีโอทีได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจโครงการความร่วมมือ UTCC Hybrid eLearning System เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในรูปแบบมัลติมีเดียให้สามารถรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงภายในมหาวิทยาลัย รวมไปถึงการเสริมศักยภาพในการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ โดยทีโอทีเสนอ TOT 3G ให้เป็นทางเลือกเพิ่มเติมจากทางเลือกเดิมที่มีอยู่ ด้วยการใช้แอร์การ์ด TOT 3G ที่ให้ความเร็วสูงถึง 7.2 เมกะบิตต่อวินาที
       
       ความร่วมมือในครั้งนี้ ทีโอทีได้ทำการติดตั้งสถานีฐาน 3G จำนวน 2 จุดภายในม.หอการค้าไทย โดยลงทุนทั้งหมด 8 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยทั้งหมด รวมทั้งทีโอทีเปิดศูนย์บริการ TOT 3G Shop เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรและนักศึกษากว่า 20,000 คน
       
       'นอกจากติดตั้งสถานีฐานแล้ว ทีโอที ยังได้มอบสิทธิพิเศษสำหรับคณาจารย์ นักศึกษาและบุคลากร โดยขายแอร์การ์ดความเร็ว 7.2 เมกะบิตต่อวินาที ในราคาเพียง 1,605 บาท และมีโปรโมชันค่าบริการ 90 บาทรับส่งข้อมูลได้ 500 เมกะไบต์ ราคานี้ไม่รวม EDGE และ GPRS ส่วนเกินจากโปรโมชันคิด 0.30 บาทต่อเมกะไบต์'
       
       รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิบการบดีม.หอการค้าไทย กล่าวว่า เนื่องจากเวลานี้รูปแบบการเรียนการสอนได้ก้าวสู่มัลติมีเดียมากว่า 3 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 4 ที่มหาวิทยาลัยแจกคอมพิวเตอร์ให้แก่นักศึกษาใหม่ที่เข้ามาเรียนไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 คน ทำให้ปัจจุบันใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการเรียนการสอนทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว นักศึกษาสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเนื้อหาก่อนเข้าชั้นเรียนกว่า 300 รายวิชา คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายวิชาที่เปิดสอนอยู่ในปัจจุบัน
       
       สำหรับความร่วมมือกับทีโอทีในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะทำให้หอการค้าไทยเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่ให้บริการ 3G เต็มรูปแบบ โดยภายในหอการค้าไทยมีการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านไวไฟ โดยมีแบนด์วิธในการให้บริการ 1.3 กิกะไบต์ต่อวินาที สามารถให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้พร้อมๆ กันถึง 30,000 เครื่อง
       
       'เมื่อรวมกับเครือข่าย TOT 3G ก็จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลของนักศึกษามีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาทุกสถานที่'
       
       ในปีการศึกษาหน้า มหาวิทยาลัยได้ติดต่อกับแอปเปิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อนำไอแพด 3G มาแจกให้แก่นักศึกษาใหม่ทุกคนประมาณ 5,000 เครื่อง ซึ่งจะทำให้มหาวิทยาลัยเป็นโชว์เคสแห่งแรกของแอปเปิลที่มีการใช้ไอแพดในการเรียนการสอนโดยก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยได้แจกทั้งโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กของเอชพีมาตลอด 3 ปี
       
       ที่ผ่านมา ทีโอทีเคยมีความร่วมมือกับม.หอการค้าไทยในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้โครงการ UTCC@home by TOT โดยทีโอทีได้ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับให้บริการ ADSL-VPN ความเร็วดาวน์โหลด 512 กิโลบิตต่อวินาที อัปโหลด 256 กิโลบิตต่อวินาที จำนวนกว่า 360 พอร์ต
       
       Company Related Links :
       TOT 3G
       มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย



สบท. แนะชาวพรีเพดตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ

สบท. แนะชาวพรีเพดตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ธันวาคม 2553 12:09 น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
สบท. แนะผู้บริโภคพรีเพด ตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ เก็บหลักฐานการใช้บริการ หากประสบปัญหา ถูกตัดสัญญาณ ถูกยึดเงินค่าโทร ใช้อ้างอิงทวงเงินคืนได้
       
       นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยว่า ผู้บริโภคควรมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้บริการโทรศัพท์ของตัวเอง เพื่อเป็นหลักฐาน เช่นการเก็บข้อความยอดเงินที่เติมครั้งล่าสุด และยอดวันที่เหลือ ซึ่งผู้ให้บริการจะส่งเป็นเอสเอ็มเอสให้เมื่อมีการเติมเงิน ตรวจสอบยอดเงินคงเหลือจากการใช้บริการเป็นระยะ โดยจดบันทึกวันที่ตรวจสอบและยอดเงินที่เหลือไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า มีเงินเหลืออยู่ในระบบเท่าไหร่เมื่อถูกยึด รวมทั้งจดบันทึกวันที่ถูกตัดบริการและถูกยึดเงินไว้ด้วย
       
       "หากประสบปัญหาให้ทวงถามไปยังเครือข่ายที่ใช้บริการ โดยใช้หลักฐานที่บันทึกไว้ พร้อมทั้งขอเลขร้องเรียนจากผู้ใช้บริการเพื่อสะดวกในการติดตามผล อย่างไรก็ตามหากประสบปัญหาเมื่อทวงกับเครือข่ายไม่ได้ผล ขอให้ร้องเรียนมาที่ สบท. ส่วนกรณีที่บริษัทรับเป็นเรื่องร้องเรียนแล้ว บริษัทมีหน้าที่ต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน"
       
       "ขณะนี้การตรวจสอบยอดเงินผู้บริโภคจะได้รับข้อมูลที่เป็น pop up ไม่สามารถเก็บไว้ในเครื่องโทรศัพท์ได้ แต่สามารถจดบันทึกยอดเงินคงเหลือไว้ได้ เพื่อเป็นหลักฐานในการอ้างอิงเพื่อทวงเงินคืน" ประวิทย์กล่าว
       
       สำหรับการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือของผู้ใช้บริการโทรศัพท์ระบบเติมเงิน แต่ละเครือข่ายจะมีเบอร์ที่ให้โทรตรวจสอบได้โดยไม่เสียค่าบริการคือ วันทูคอล โทร *121# หรือ 900120 แฮปปี้โทร *1001 เป็นระบบเสียงตอบรับอัตโนมัติ ทรูมูฟโทร #123# เป็นระบบข้อความหรือ 9302 เป็นระบบเสียงตอบรับอัตโนมัติ โดยเบอร์หลังนี้กดครั้งแรกไม่คิดค่าบริการ ครั้งที่ 2 คิดค่าธรรมเนียมครั้งละ 1 บาท
       
       Company Related Link :
       สบท.


วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เลขาธิการ มพบ. ชี้ ยุคหลอมรวมสื่อโทรคมฯ งานคุ้มครองผู้บริโภคควรจัดตั้งองค์กรเดียวแยกผู้เชี่ยวชาญ

องค์กรเครือข่ายผู้บริโภค ถามหามาตรการคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ พรบ.กสทช.
โดย : สำนักสื่อสารสาธารณะและบริการประชาชน(24/12/2010 01:52 PM) องค์ผู้บริโภคถามหามาตรการคุ้มครองผู้บริโภคใน พรบ.กสทช.
องค์กรเครือข่ายผู้บริโภค "ถามหามาตรการคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้พรบ.กสทช."


เลขาธิการ มพบ. ชี้ ยุคหลอมรวมสื่อโทรคมฯ งานคุ้มครองผู้บริโภคควรจัดตั้งองค์กรเดียวแยกผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อวานนี้ (22 ธันวาคม 2553) ที่โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท กรุงเทพ ในการประชุมประจำปีร่วมกับองค์กรผู้บริโภค 2553 ซึ่งจัดโดย สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) มีการแถลงข่าว "การคุ้มครองผู้บริโภคโทรคมฯ และ สื่อฯ ในกำมือ กสทช." โดยนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้บังคับบัญชา สบท. และตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ที่ผ่านมาภายใต้การทำงานของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ถือว่า ให้ความสำคัญกับงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมเป็นอย่างดี เห็นได้จากการริเริ่มให้เกิดองค์กรด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทร คมนาคมที่มีรูปแบบการทำงานที่มีความเป็นอิสระจากกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและจาก สกทช. ทำให้สามารถทำงานได้เต็มที่ ดังนั้น เมื่อมีการบังคับใช้ พรบ.กสทช จึงเชื่อว่า กสทช. หรือ รักษาการ กสทช. จะให้ความสำคัญกับงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น
นางสาวสารีกล่าวต่อไปว่า พรบ.กสทช. ได้กำหนดให้ กสทช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสองคณะทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการ กระจายเสียงและโทรทัศน์ กับคณะอนุกรรมการที่ดูแลผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม แต่ยังไม่มีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ทั้งนี้สำหรับรูปแบบขององค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ พรบ.กสทช.นั้น เห็นว่า กสทช.ควรจัดตั้งเป็นองค์กรเดียวแต่แยกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
" สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคหลอมรวมสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการทำงาน เมื่อเกิดข้อร้องเรียนจากประชาชน จึงควรจัดตั้งเป็นองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคที่ดูแลทั้งด้านวิทยุ โทรทัศน์ และโทรคมนาคม แต่แยกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะจุดรับเรื่องร้องเรียนต้องเป็นจุดเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน " เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าว
ด้านนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้บังคับบัญชา สบท. กล่าวว่า ปัจจุบัน สบท.ยังมีสถานะในการจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนได้เช่นเดิม เนื่องจากได้มีคำสั่งให้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคได้ต่อไป เพื่อไม่ให้งานคุ้มครองผู้บริโภคสะดุด
" ดังนั้นบริษัทฯต่างๆโปรดปฏิบัติตามกฎหมาย อย่าตั้งคำถามไร้สาระว่า สบท.ยังทำงานได้หรือไม่เพราะไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น แต่ปัญหาของประชาชนยังอยู่เหมือนเดิม และการมีกฎหมายก็เพื่อให้อำนาจในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้มากขึ้น " นายประวิทย์กล่าว
นายสวัสดิ์ คำฟู ตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคกล่าวว่า ขอเร่งรัดให้มีการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์อย่างเร่งด่วน เร่งออกมาตรการคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพส่วนบุคคล และกำหนดมาตรการการโอนย้ายเลขหมายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เร่งดำเนินการให้ผู้ประกอบการไม่กำหนดวันหมดอายุบัตรเติมเงิน และให้มีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการคืนเงินที่ยึดจากผู้บริโภค ขอให้มีการดำเนินการตามแผนแม่บทการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
............................................................................................


http://www.thaingo.org/board_2/view.php?id=2594

วันที่ 3-31 มกราคม 2554 เวลา 09.00-14.00 น. ที่สวนลุมพินี เข้าประตูที่ 8 (เรือนเพาะชำ)

ปทุมวันเปิดอบรม 13วิชาชีพสร้างเงิน เรียบจบรับวุฒิบัตร


นาง ภาวิณี อามาตย์ทัศน์ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กล่าวว่า ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันทำให้มีคนว่างงาน เป็นจำนวนมาก มีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มขึ้น เขตเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มรายได้ ให้กับผู้ว่างงานหรือผู้ที่ต้องการ มีรายได้เสริมเพื่อช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว

จึง กำหนดเปิดอบรมวิชาชีพหลักสูตร ระยะสั้น 13 รายการวิชา ได้แก่ อาหารคาว อาหารว่าง เ บเกอรี่ ขนมไทย ดอกไม้จากดินหอม จัดดอกไม้สด แกะสลักผักผลไม้ บรรจุภัณฑ์ - การกัดกระจก เทียนแฟนซี นวดแผนไทย เทคนิคการแต่งหน้า ปักผ้าด้วยลูกปัด และ ซ่อมโทรศัพท์มือถือ รุ่นที่ 4 เปิดเรียนหลักสูตร 1 เดือน (80 ชั่วโมง) ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ระหว่างวันที่ 3-31 มกราคม 2554 เวลา 09.00-14.00 น. ที่สวนลุมพินี เข้าประตูที่ 8 (เรือนเพาะชำ)

ผู้ สนใจยื่นใบสมัครพร้อม สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 1 ฉบับ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 2 มกราคม 2554 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผู้ที่สำเร็จ การฝึกอบรมจะได้ รับมอบวุฒิบัตรทุกหลักสูตร สอบถามได้ที่ศูนย์ฝึกอาชีพสวนลุมพินี โทร.02-2515849, 02-2515281 หรือ www.suanlumtrain.org



สนข.ชงครม.ผุดรถไฟฟ้าอีก 7 สาย วงเงินลงทุนทะลุ 3.3 แสนล. มั่นใจ 10 ปีเสร็จ




วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:45:38 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

สนข.ชงครม.ผุดรถไฟฟ้าอีก 7 สาย วงเงินลงทุนทะลุ 3.3 แสนล. มั่นใจ 10 ปีเสร็จ

สนข.กางแผนผังเข็นรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ลั่นทั้งสายสีม่วง แดง และน้ำเงิน ยังเดินตามกำหนดเดิม ไม่ล่าช้า มั่นใจอีก 4-5 ปีเปิดใช้บริการได้ พร้อมเปิดพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยแห่งใหม่อีกเพียบ เชื่อไม่ทำให้ราคาคอนโดฯแพงตามแนวรถไฟฟ้าเกินไป เตรียมชง ครม.ขออนุมัติแผนแม่บท 10 ปี ผุดอีก 7 โปรเจ็คต์ มูลค่าลงทุนกว่า 3.3 แสนล้าน

นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลระยะเวลา 10 ปี (2553-2562) ว่าโครงการที่มีการประกวดราคาไปแล้วทั้งสายสีม่วง สีแดง และสีน้ำเงินนั้น ยังเป็นไปตามกำหนดเดิม คือแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2557-2558 ซึ่งเมื่อเปิดใช้บริการแล้วจะสามารถเปิดพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยแห่งใหม่ ตามแนวรถไฟฟ้าได้อีกเป็นจำนวนมาก และจะทำให้ราคาคอนโดมิเนียมในอนาคตจะไม่แพงมาก แม้ว่าราคาที่ดินจะปรับขึ้น 
  นางสร้อยทิพย์กล่าวว่า สำหรับโครงการที่เตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาตามแผนแม่บท 10 ปี มี 7 โครงการ วงเงิน 334,864 ล้านบาท คือ
    1.โครงการสายสีแดงช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลค่าการลงทุน 5,012 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอให้สำนักงานโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อนุมัติผลการศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และจะประสานกระทรวงการคลังให้หาแหล่งเงินให้ คาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้ภายในปี 2558
   2.สายสีแดงช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน วงเงินลงทุน 36,947 ล้านบาท ออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างปรับปรุงรายงาน
อีไอเอ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2559
  3.โครงการระบบรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานกรุงเทพ ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง วงเงินลงทุน 32,989 ล้านบาท ออกแบบรายละเอียดโครงการแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างปรับปรุงรายงานอีไอเอ
  4.โครงการสายสีเขียวช่วงสะพานใหม่-คูคต วงเงินลงทุน 22,134 ออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จ และ สผ.อยู่ระหว่างพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
  5.สายสีชมพูช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี วงเงินลงทุน 33,212 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อยู่ระหว่างทำเรื่องเสนอสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติการเปลี่ยนแปลงการใช้ จ่ายงบประมาณจำนวน 400 ล้านบาทมาศึกษาทบทวนความเหมาะสมออกแบบ และจัดทำเอกสารประกวดราคา
  6.โครงการสายสีม่วงช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงินลงทุน 66,820 ล้านบาท คณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ได้มีมติเห็นชอบในกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินงานช่วงก่อนการ ก่อสร้างโครงการ 140 ล้านบาท โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ช่วงเตาปูน-อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ระยะทาง 1.5 กม. ที่ต้องแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ในเดือนธันวาคม 2557
ระยะที่ 2 ช่วงอาคารรัฐสภาแห่งใหม่-วังบูรพา เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-บางแค และ
ระยะที่ 3 ช่วงบูรพา-ราษฎร์บูรณะ 
  และ 7.สายสีส้มช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงินลงทุน 137,750 ล้านบาท
   บอร์ด รฟม.มีมติเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานช่วงก่อนการก่อสร้างโครงการจำนวน 210 ล้านบาท เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสม ออกแบบรายละเอียดโครงสร้างใต้ดิน จัดทำเอกสารประกวดราคา มี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ ระยะที่ 2 ช่วงบางกะปิ-มีนบุรี และระยะที่ 3 ช่วงตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม โดยช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี สามารถประกวดราคาและคัดเลือกผู้รับเหมาปลายปี 2555 และเริ่มก่อสร้างงานโยธาในปี 2556


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1293589735&grpid=01&catid=no

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Bangkok Dangerous ลูกเราและลูกเขา

Bangkok Dangerous ลูกเราและลูกเขา

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:00:00 น.





โดย ขุนสำราญภักดี

ค่ำวันหนึ่ง  ลูกชายกลับบ้าน หน้าตาไม่ค่อยดี  บอกว่า วันนี้ ...โดนชกมา 
   

ความรู้สึกแรกคือ ตกใจ ! เพราะลูกชายไม่ใช่เด็กเกเร เป็นเด็กใฝ่เรียน และกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่วัน
    

ตั้งสติ ขอให้ลูกเล่าเรื่องราวว่า   มันเกิดอะไรขึ้น ?
    

วันซวยของลูกชาย เกิดขึ้นหลังจากเลิกเรียนพิเศษ จึงข้ามข้ามสะพานลอย จากฝั่งสยามสแควร์ไปยังฝั่งดิส คัฟเวอรี่  
     

เพื่อน 2 คนเดินนำไปข้างหน้า   ลูกชายสัมภาระเยอะ เพราะต้องแบกกระเป๋าใส่หนังสือเต็มหลัง
      

วัยรุ่น 3 คน ชาย 2 หญิง 1  เข้าประกบ กลางสะพานลอย  คนหนึ่งตะโกนสั่งว่า "ตามกูมา  ถ้าไม่อยากโดนชก"
      

เพื่อนก็อยู่ไกล  จะเรียกให้ช่วยก็ไม่ทัน และไม่รู้ว่า เพื่อนจะช่วยได้หรือเปล่า  และแต่ละคนก็ล้วนหุ่นผอมบาง  ประมาณว่า ถ้าลมพัดแรงก็น่าจะปลิว
      

ลูกชาย หยุดเดิน ไปทำตามคำสั่งของแก๊งวัยรุ่น  เพราะรู้ได้ล่วงหน้า ถ้าเดินตามไป  ถูกลอกคราบแน่ !
      

"อยากชก ชกเลย  ไม่ตามไปหรอก"   ลูกชาย  บอกแก๊ง 3 คน
      

แล้ว กำปั้น ก็อัดใส่ ท้องของเจ้าลูกชาย   ผลก็คือ เด็ก ม. 6 รูปร่างผอมสูง ทรุดลงไปกองกับพื้น
     

เพื่อนเหลียวมาเห็น ลูกชาย กองอยู่กับพื้น แก๊งวัยรุ่นเดินหนีไปแล้วไกลแล้ว
      

ฟังลูกเล่าแล้ว  จึงได้คิดว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้   โชคดีที่ลูกแค่โดนชก  คนโชคร้ายกว่าเรา อาจโดนหนักกว่านี้
       

ชีวิตในกรุงเทพอันตราย  เสี่ยงภัยสูงมาก   ความซวยอาจวิ่งมาชนได้ทุกเสี้ยวนาที    ถ้าเดินหลบไม่ทัน
        

ทั้งๆ ที่  ลูกชาย ไม่ได้ใช้  ไอโฟน  ไม่เคยซื้อ แบล็คเบอรี่ ให้ลูกเล่น  โทรศัพท์มือถือก็แค่โนเกีย ราคาไม่กี่พันบาท   ทุกอย่างในตัวลูกชายเรียบง่ายและราคาถูก
       

"ช่างมันเถอะ คราวหน้าก็เดินให้เร็ว  เกาะกลุ่มกับเพื่อน อย่าเดินคนเดียว"  เป็นคำเตือนจากพ่อ
       

เหมือนกับที่เคยพร่ำเตือนลูกว่า เรียนให้เก่ง นะลูกรัก  จะได้ไม่เป็นภาระของครอบครัวและสังคม
       

... เราเป็นพลเมืองดีของสังคม  เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย  ไม่เคยละเมิดกฎหมาย  ทำงานหนักเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 
        

เรารักเพื่อนบ้าน เรารักมนุษย์  มีจิตอาสา  อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอมา   ไม่เคยมีปากเสียงกับสีไหน
        

แต่นี่คือ ผลตอบแทนของการเป็นพลเมืองดี  (มันน่าเจ็บช้ำน้ำใจ )
        

ตำรวจ หรือ  อย่าไปหวัง พึ่งของเขาเลย      เราเป็นคนตัวเล็ก ๆ  ไม่ได้สำคัญอะไร
        

ตำรวจ   ต้องไปเฝ้าร้านทอง ตำรวจทั้งโขยงต้องไปเฝ้านายกรัฐมนตรี  และบุคคลสำคัญ ๆ ของประเทศ
        

ตำรวจที่เหลือก็เป็นแค่ "จ่าเฉย "
        

เราแค่เอาชีวิตให้รอด  ในแต่ละวัน แล้วมาเจอกันที่บ้านในตอนพลบค่ำ
       

พรุ่งนี้ ใครบางคน อาจไม่ได้กลับบ้าน  เพราะความซวยวิ่งมาชน 
       

แล้ว เราจะไปบ่นกับใครได้
        

เพราะเราเป็นแค่ราษฎร์ !!!

 

ขุนสำราญภักดี

26 ธันวาคม 2553



                         http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293360300&grpid=01&catid=no

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน ที่คุยกับทูตสหรัฐต่างกรรมต่างวาระ

วิกิลีกส์

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:00:00 น.





โดย สรกล อดุลยานนท์

(ที่มา คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2553)

ผู้บริหารเว็บไซต์ "ประชาไท" เพิ่งแถลงข่าวเรื่องผลกระทบและความเสียหายที่ถูกปิดเว็บไซต์มานาน 8 เดือนจากการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล

นอกเหนือจากความเสียหายที่คิดเป็นเงิน 5 ล้านบาทแล้ว

ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ คำถามเรื่อง "เสรีภาพ" ในการนำเสนอข่าวสาร

อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นคือการใช้ "ความเชื่อ" ของคนกลุ่มเดียวตัดสินว่าใครถูกใครผิด

เชื่อว่าเว็บไซต์ไหนทำผิดกฎหมาย

...ปิด

ช่วงที่ผ่านมามี 2,200 เว็บไซต์ถูกบล็อคในช่วง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

จากกรณีของ "ประชาไท" ทำให้มีคนตั้งคำถามถึงเว็บไซต์หนังสือพิมพ์การ์เดียน หรือ www.guardian.co.uk ที่ตีพิมพ์เอกสารลับของสถานทูตสหรัฐอเมริกาจาก "วิกิลีกส์"

ชิ้นแรกเป็นข่าวใหญ่ในเมืองไทยคือ กรณี "วิคเตอร์ บูท" ที่ "ทูตสหรัฐ" ขอให้ "โอบามา" โทรศัพท์มาหา "อภิสิทธิ์" เพื่อกดดันให้ไทยส่ง "บูท" ให้สหรัฐอเมริกา

แต่จริงๆ แล้วยังมีอีก 4 ฉบับ

ว่ากันว่าคนกรุงส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าอากาศเริ่มคลายหนาวลงแล้ว แต่สำหรับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.อ.สิทธิ์ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน ที่คุยกับทูตสหรัฐต่างกรรมต่างวาระ

ตอนนี้ยังยะเยือกอยู่เลยครับ

กรณี "วิกิลีกส์" ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึง "วิธีคิด" ของสังคมไทยว่าประเด็นที่พูดนั้นไม่สำคัญว่าเป็น "เรื่องอะไร"

แต่สำคัญที่ "ใครพูด"

คนทั่วไปพูดเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะบนโต๊ะกินข้าว หรือเขียนใน facebook

แต่บางคนพูดได้

ทั้งที่รู้ว่าเมื่อคุยกับ "ทูต" แล้ว เนื้อหานั้นจะถูกส่งไปที่ "ทำเนียบขาว"

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไมรัฐบาลใช้ "2 มาตรฐาน" ในกรณีนี้

เพราะใครที่ได้อ่านเนื้อหาที่ผู้ใหญ่ 4 ท่านนี้พูดกับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

ทุกคนพูดเหมือนกันเลยว่า "ประชาไท"..เด็กๆ

ไม่แปลกที่คนจะวิจารณ์เรื่องนี้กันมากเรื่อง "มาตรฐานใหม่" ของรัฐบาล

บางคนก็มองว่า "อภิสิทธิ์" เกรงใจ "การ์เดียน" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ ประเทศที่นายกฯมาร์คเคยร่ำเรียนมา

บาง คนก็มองว่า "อภิสิทธิ์" ไม่พอใจคำวิจารณ์ของ พล.อ.เปรม และ พล.อ.อ.สิทธิ์ ที่บอกว่าเขาเด็กเกินไป ไม่กล้าตัดสินใจ และใช้เวลากับ "โพเดียม" มากเกินไป ถึงขั้นบอกทูตว่าได้เตือนเรื่องนี้ผ่านทาง นพ.อรรถสิทธิ์ บิดาของ "อภิสิทธิ์" แล้ว

"อภิสิทธิ์" ก็เลยเอาคืนโดยปล่อยให้มีการเผยแพร่ข้อความนี้ต่อไปเรื่อยๆ

เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้ว "อภิสิทธิ์" ได้ปรับปรุงตัวเองใหม่

เพื่อให้สอดคล้องกับคำขวัญวันเด็ก

"รอบคอบ รู้คิด" และ......มีจิตสาธารณะ


                      http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293267147&grpid=&catid=02&subcatid=0207

องค์กรอิสระที่ประชาชนลดความเชื่อมั่นลงมาก คือ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

นางถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาพระปกเกล้า แถลงว่า สถาบันโดยความร่วมมือของสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจความพึงพอใจต่อนโยบาย ของรัฐบาลและความเชื่อมั่นต่อสถาบันต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ระยะเวลา 8 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2546-2553 พบว่า นโยบายการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผู้พึงพอใจสูงสุด เกือบร้อยละ 90 ในปี 2553 แต่นายกฯที่ยังครองใจประชาชนสูงสุดปี 2547 หรือกว่าร้อยละ 90 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ลดลงอย่างมากในปี 2549 ที่เริ่มมีการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ และจากนั้นความพึงพอใจต่อนายกรัฐมนตรีลดลงเรื่อยๆ จนถึงต่ำมาก (37.6) ช่วงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นในสมัยนายอภิสิทธิ์ (ร้อยละ 60) ส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับคะแนนความเชื่อมั่นน้อยกว่าตัวนายกฯในทุกสมัย 


นางถวิลวดีกล่าวว่า สถาบันทหารและตำรวจ ที่เคยได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดในปี 2548 คือ ร้อยละ 84.8 ก็ลดต่ำลงเรื่อยๆ จนเหลือร้อยละ 76.3 และ 67.8 ในปี 2552 และ 2553 ตามลำดับ นอกจากนี้กลุ่มองค์กรอิสระได้รับความเชื่อมั่นลดลง โดยตลอด 8 ปี องค์กรอิสระที่ประชาชนลดความเชื่อมั่นลงมาก คือ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งรัฐสภา ที่เป็นสถาบันทรงเกียรติ ลดจากอดีตร้อยละ 60 มาเหลือไม่ถึงครึ่ง ส่วนสื่อมวลชนที่ได้รับความเชื่อมั่นสูงสุดคือ ทีวี รองลงมาคือหนังสือพิมพ์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1293245987&grpid&catid=19&subcatid=1904


--

เสนอชื่อผู้แทนของตนเป็นผู้แทนในกรรมการสรรหากรรมการปฏิรูปกฎหมาย หมดเวลาขึ้นทะเบียนวันที่ 30 ธ.ค. 2553


เรียนทุกท่าน ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ แต่ข่าวเงียบมากๆ องค์กรด้านแรงงาน ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ควรได้ไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเพื่อเสนอชื่อผู้แทนของตนเป็นผู้แทนในกรรมการสรรหากรรมการปฏิรูปกฎหมาย ...อย่างน้อยก็เพื่อเข้าไปผลักดันให้เกิดการแก้ไขกหมายหลายๆ ฉบับที่ไม่เป็นธรรมและสร้างปัญหาอยู่ในขณะนี้ ข้อสำคัญคือจะหมดเวลาขึ้นทะเบียนวันที่ 30 ธ.ค. สิ้นปีนี้แล้ว!/ประทีป ............................................................
สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
ขอเชิญองค์กรเอกชนที่ดำเนินการโดยมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์หลักด้านแรงงาน ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ มาขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเพื่อเสนอชื่อผู้แทนของตนเป็นผู้แทนในกรรมการสรรหากรรมการปฏิรูปกฎหมาย โดยมีเงื่อนไขเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงานกำหนด นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2553 สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-141-3713,02-141-3717 หรือติดต่อที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (สำนักงานกิจการยุติธรรม) อาคารบี ชั้น 9 ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร สามารถ dowload เอกสารได้ที่
 http://www.lrc.go.th/download/document/DocLib1/Forms/AllItems.aspx



วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

e-magazine ฉบับที่ 39 ปัญหาฟิตเนสเอาเปรียบที่รอการแก้ไข



จาก: เดชา กิตติวิทยานันท์ <decha007@cscoms.com>
วันที่: 22 ธันวาคม 2553, 12:21
หัวเรื่อง: e-magazine ฉบับที่ 39
ถึง:


สวัสดีพี่น้องทนายคลายทุกข์ ทาง E-Magazine ทุกท่าน

ทีมงานทนายคลายทุกข์ขอนำบทความที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเพื่อนสมาชิก เกี่ยวกับ ปัญหาฟิตเนสเอาเปรียบที่รอการแก้ไข

ผู้บริโภคมีปัญหาด้านสัญญากับผู้ให้บริการฟิตเนส ผู้บริโภคหลายคนไม่สามารถบอกเลิกสัญญาได้ แม้จะมีเหตุสุดวิสัยอย่างกรณีการตั้งครรภ์ เป็นต้น นอกจากนั้นยังพบปัญหาเกี่ยวพนักงานขายเชิญชวนผู้บริโภคให้ไปใช้บริการฟรี เมื่อไปใช้กลับบอกว่าไม่มีบริการฟรีให้ แต่จะให้ส่วนลดในการใช้บริการ และเมื่อสมัครใช้บริการไปแล้ว สถานที่ให้บริการยังไม่พร้อม อุปกรณ์ไม่เพียงพอกับผู้ให้บริการ เมื่อผู้บริโภคขอบอกเลิกสัญญาก็ไม่ให้เลิกสัญญา โดยมีเงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาได้นั้นต้องทุพลภาพหรือย้ายที่อยู่เท่านั้น ทนายคลายทุกข์จึงสรุปประเด็นปัญหาเกี่ยวกับข้อร้องเรียนฟิตเนสบางส่วนมานำเสนอ ดังต่อไปนี้
สรุปปัญหาข้อร้องเรียน จาก www.decha.com เกี่ยวกับฟิตเนส
1. ปัญหาเรื่องการทำสัญญา การทำสัญญาทาง Sale ไม่ได้แจ้งว่า ไม่สามารถยกเลิกการเป็นสมาชิกได้ ซึ่งปกปิดข้อมูลอันทำให้เกิดสัญญา แล้วสัญญาดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคคือ ด้วยทั้งวัยวุฒิ และสถานภาพที่ไม่สามารถรับผิดชอบเงินที่เป็นสมาชิกดังกล่าวได้
2. ค่าติดตามหนี้ มีบริษัทสำนักกฎหมายส่งจดหมายมาทวงค่าสมาชิกที่ค้างชำระ+ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินล่าช้า+ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถาม และระบุว่าหากไม่ได้มาชำระเงินภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ที่ได้รับจดหมายนี้ หากพ้นกำหนดจะดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ต้องมีหนังสือเตือนอีก และจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากการติดตามทวงถาม รวมทั้งค่าดำเนินการทางกฎหมายที่เกิดขึ้น
3. การโอนสิทธิ ถูกโอนสิทธิสมาชิกให้บุคคลอื่น โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากดิฉันเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่ได้กระทำการเอง จึงขอให้ทาง Fitness ยกเลิกสัญญาให้ เนื่องจากไม่ปลอดภัยในข้อมูล ไม่มั่นใจ และไม่พอใจที่อนุญาตให้คนอื่นมาโอนสิทธิแทน โดยที่ไม่มีการมอบอำนาจแต่อย่างใด และไม่มีการแจ้งให้ทราบด้วย
4. trainner trainner โทรมาให้ช่วยซื้อครอสเพิ่ม พยายามบอกปัดไปก็ตื้อ ก็เลยบอกไปว่าเดี๋ยวเข้าไปดูเอง หลังจากนั้นไม่เกิน 10 นาทีโทรกลับไปบอกว่าไม่สนใจเพราะไม่มีเงิน trainner บอกว่าส่งยอดไปแล้ว ยกเลิกไม่ได้เดี๋ยวจะให้คนอื่นมารูดบัตรเครดิตให้ก่อนแล้วให้ดิฉันโอนเงินไปทีหลัง ทำทุกอย่างแบบมัดมือชกกันเลย
5. การยกเลิกสัญญา สัญญาทำไว้ 1 ปี ถ้าไม่ครบ 1 ปี ทางฟิตเนสบอกแต่ว่ายกเลิกไม่ได้
6. การชำระค่าบริการผ่านบัตรเครดิต ไปทำสัญญา โดยในตอนที่ทำสัญญาไม่มีบัตรเครดิต เพราะยังเรียนอยู่ ทาง Sale เสนอว่าจะใช้บัตรของพนักงานอีกคนค้ำไว้ก่อน แล้วให้มาชำระเงินที่ฟิตเนส ก่อนที่ยอดจะไปตัดบัตรเครดิตของพนักงานคนนั้น
7.การตรวจร่างกายผู้ใช้บริการ ตรวจร่างกายพบว่า ตั้งครรภ์ จึงได้พิมพ์เป็นจดหมาย พร้อมแนบใบรับรองแพทย์ fax ไปยังสถานออกกำลังกาย โดยในจดหมายได้ระบุแจ้งขอยกเลิกสัญญาและการเป็นสมาชิกด้วยเหตุผลทางการแพทย์คือ ตั้งครรภ์ ไม่สามารถมาออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่พนักงานขายกับแจ้งว่าไม่สามารถยกเลิกได้ เนื่องจากติดสัญญา ( สัญญามีอายุ 1 ปี) แต่ทาง fitness จะทำการเปลี่ยนแปลงคือ มอบสิทธิ์หยุดพักให้ 1 ปี โดยไม่คิดค่าบริการ
นี่เป็นเพียงข้อร้องเรียนบางส่วนเท่านั้นที่หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น และกำลังหาทางออกจากโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค (สคบ.) แต่ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ทั้งที่มีเรื่องร้องเรียนวันละหลายสิบสาย ทางออกอีกทางหนึ่งที่สามารถจะทำได้ ผู้บริโภคก็คงต้องฟ้องเป็นคดีผู้บริโภค ใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522, พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 ช่วยไปก่อน ถึงแม้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้อง แต่ขบวนการชั้นศาล น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่อาจต้องทำ แต่หากมีกฎระเบียบที่คุมสถานบริการออกกำลังกายออกมาอย่างชัดเจน ก็น่าจะกว่าที่จะต้องไปเจอปัญหาและต่อสู้กับปัญหาด้วยตนเอง โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีผู้บริโภค
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
"ผู้บริโภค" หมายความว่า ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
"สัญญา" หมายความว่า ความตกลงกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจเพื่อซื้อและขายสินค้าหรือให้และรับบริการ

มาตรา 35 ทวิ ในการประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการใด ถ้าสัญญาซื้อขายหรือสัญญาให้บริการนั้นมีกฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือที่ตามปกติประเพณีทำเป็นหนังสือ คณะกรรมการว่าด้วยสัญญามีอำนาจกำหนดให้การประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการนั้นเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาได้
ในการประกอบธุรกิจที่ควบคุมสัญญา สัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(1) ใช้ข้อสัญญาที่จำเป็นซึ่งหากมิได้ใช้ข้อสัญญาเช่นนั้น จะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบผู้ประกอบธุรกิจเกินสมควร
(2) ห้ามใช้ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และรายละเอียดที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนด และเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจะให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำสัญญาตามแบบที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดก็ได้
การกำหนดตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา


ด้วยความปรารถนาดี
จาก ทีมงานทนายคลายทุกข์

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

A Social Network Christmas

This is an awesome video; it brought tears to my eyes.

Merry Christmas, and God bless you!

ธุรกิจไซเบอร์ การออกแบบสื่อมัลติมีเดียและแอนนิเมชั่น รับสมัครตั่งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2553

ฝึกอบรมฟรี
ธุรกิจไซเบอร์ การออกแบบสื่อมัลติมีเดียและแอนนิเมชั่น
 ต้องการสร้างธุรกิจขนาดย่อมด้วยตนเอง อย่างยั่งยืนและแข่งขันได้
 ต้องการเรียนรู้ การบริหารจัดการธุรกิจสู่การเป็นมืออาชีพ
 ต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สินค้าและบริการ ธุรกิจบนโลกไซเบอร์
 ต้องการทักษะด้านการออกแบบเวปไซด์และแอนนิเมชั่น สู่การเป็นมืออาชีพ
วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ
ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่
New Entrepreneurs Creation: (NEC)
หลักสูตรพื้นฐานภาคทฤษฎี
(60 ชม.)
หลักสูตรเพิ่มทักษะภาคปฏิบัติ
(135 ชม.)
- การวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจและการลงทุน
- การบริหารจัดการด้านการตลาดและการขาย
- การบริหารทางการเงินและการวิเคราะห์ตัวเลขทาง
การเงิน
- การบริหารองค์กรและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- การทำแผนธุรกิจและการวางกลยุทธ์
- การออกแบบสื่อมัลติมีเดีย
- การออกแบบและการสร้างเวปไซด์
- การออกแบบสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์
- กฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจ Online
รับสมัครตั่งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2553
สมัคร online ได้ที่ http://nec.dip.go.th
ระยะเวลาการอบรม เริ่ม 15 มกราคม – 15 พฤษภาคม 2554
วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น.
สถานที่อบรม : ห้องสัมมนา 1 อาคารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ชั้น 6
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพ 10400
โทรศัพท์ 02-202 4553 , 02- 202 4574
สอบถามรายละเอียด
 สมาคมศิษย์เก่า มศว. ชั้น 2 อาคาร 14 โทรศัพท์ 02-260-9546 โทรสาร 02-260-9547
 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (คุณมนัสนันท์) โทรศัพท์ 02-202-4553 โทรสาร 02-354-3425
 ผู้ประสานงานโครงการ คุณณัฐรินีย์ ทองปลอด 086-700-5790
http://nec.dip.go.th Email : nec.cyber54@gmail.com

 

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553 เวลา 5.00 — 20.00 น. ณ ห้องราชมณเฑียร โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพ

เทศน์มหาชาติ

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net -- พุธที่ 15 ธันวาคม 2553 17:51:15 น.
กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--โรงแรมมณเฑียร

คุณหญิงทิพยวรรณ ตันตกิตติ์ ประธานจัดงาน มหกรรมธรรมะเฉลิมพระเกียรติ "84 พรรษามหาราช" ขอเชิญร่วมฟังเทศน์มหาชาติ จากพระนักเทศน์ผู้เชี่ยวชาญ 5 รูป วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2553 เวลา 5.00 — 20.00 น. ณ ห้องราชมณเฑียร โรงแรมมณเฑียร กรุงเทพ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนม พรรษาครบ 84 พรรษา นับว่าเป็นกิจกรรมเผยแผ่ธรรมะที่เป็นกุศลยิ่ง จึงขอเชิญผู้สนใจร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โทร 0-2233-7060 ต่อ 5264-6


 

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ เสาร์ที่ 8 มกราคม 2554 ณ ศูนย์คชศึกษา ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์

จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2554

มูลนิธิกระจกเงา  

“จัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2554”

วันนั้น...เราทุกคนเคยเป็นเด็ก เคย“รอการได้รับ”

“ วัยเด็ก คือวัยแห่งความฝัน  จินตนาการ และการเรียนรู้”

“ วันเด็กคือวันที่เปิดพื้นที่ให้จินตนาการเหล่านั้นได้แสดงออกมา”

วันนี้...เราทุกคน เป็นผู้ใหญ่เราจึงต้องเป็น “ผู้ให้”



         ก้าวสู่ปีที่20 ของ มูลนิธิกระจกเงาขอเชิญชวนผู้ใหญ่ใจดีทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่แห่ง จินตนาการการเรียนรู้ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ให้ “รอยยิ้มและความสุข” กับน้องๆเยาวชนที่อยู่ห่างไกล ในกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ
         พี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดี สามารถร่วมเนรมิตรงานสร้างสีสันและรอยยิ้มของเด็กๆร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา โดยร่วมส่งมอบและสนับสนุน   ของขวัญ,ตุ๊กตา,ของเล่นเด็ก,สื่อการเรียนการสอน,น้ำดื่ม,นม,ขนม ฯลฯ  ของทุกชิ้นที่เราได้รับเข้ามา จะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ เสาร์ที่ 8 มกราคม  2554 ณ ศูนย์คชศึกษา   ต.กระโพ  อ.ท่าตูม  จ.สุรินทร์  โดยมีน้องๆ นักเรียนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

ร่วมสนับสนุนของขวัญสำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ได้ที่ มูลนิธิกระจกเงา  (วิภาวดี44)”     วันนี้ - 28 ธันวาคม2553

" ก้าวสู่ปีที่ 20 ก้าวเพื่อสังคม ก้าวไปกับเรา มูลนิธิกระจกเงา "



สอบถามโทร ศูนย์รับบริจาค  02-941-4194-5 ต่อ 101  
เว็บไซต์  [url=]www.mirror.or.th[/url]
ถ้าหากต้องการยกเลิกการรับข่าวสาร ให้กรอก Emailเพื่อยกเลิกการรับข่าวสารได้ที่ URL นี้www.mirror.or.th/maillinglist/formmailcancle.php
ถ้าหากต้องการเพิ่ม Email เพื่อรับข่าวสาร ให้กรอก Emailเพื่อรับข่าวสารได้ที่ URL นี้www.mirror.or.th/maillinglist/formmailsubmit.php

 

มูลนิธิกระจกเงา ขอนำเสนอ"มหกรรมเคลียร์"

มหกรรมเคลียร์!!!   ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่”


               ปี พ.ศ. 2553 กำลังจะผ่านพ้นไปอีก1ปี  ลองสังเกตุพื้นที่ในบ้านหรือที่ทำงานคุณ กันหรือยัง? ว่าพื้นที่เหล่านั้นแคบลงไปด้วยจำนวนสิ่งของที่เหลือใช้เกินความต้องการรึ เปล่า หากคุณมีสิ่งของที่เหลือใช้หรืออยากเพิ่มพื้นที่ให้กับบ้าน,ที่ทำงาน แต่ไม่รู้จะจัดการกับของเหล่านั้นอย่างไร?
                มูลนิธิกระจกเงา  ขอนำเสนอ“มหกรรมเคลียร์” เรารับบริจาคสิ่งของจากบ้าน,ที่ทำงาน อาทิเช่นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ,หนังสือ,คอมพิวเตอร์, เฟอร์นิเจอร์,อุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯเพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับผู้ขาดแคลนและมีความต้องการใช้งานสิ่งของเหล่า นั้น  เป็นการเคลียร์พื้นที่ใช้สอยในบ้านของคุณต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลัง จะมาถึง แล้วยังได้ร่วมแบ่งปันโอกาสจากสิ่งของเหล่านี้ให้กับเพื่อนร่วมสังคมของเรานับเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับพวกเขาได้เช่นกัน
           เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการร่วม“มหกรรมเคลียร์”  เรามีทีม Deliveryจนท.มูลนิธิกระจกเงาออกไปรับของถึงบ้าน,ที่ทำงานของคุณ เพียงโทรมาที่ 02-941-4194-5 ต่อ 101 จนท.จะทำการลงทะเบียนและนัดวันเวลาออกไปรับของถึงบ้านคุณ
“การแบ่งปันของคุณ เปลี่ยนแปลงสังคมได้”

เว็บไซต์ มูลนิธิกระจกเงา[url=]www.mirror.or.th[/url]
ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ [url=/donate_service.php]http://www.mirror.or.th/donate_service.php[/url]
ศูนย์รับบริจาค  02-941-4194-5 ต่อ101  
* หากไม่ได้รับการติดต่อจาก จนท. เกิน1สัปดาห์  กรุณาแจ้งกลับที่ 02-9414194-5 ต่อ102

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

iLaw: สรุปสถานการณ์การควบคุมและปิดกั้นสื่อออนไลน์ พ.ศ.2550 - 2553




iLaw: สรุปสถานการณ์การควบคุมและปิดกั้นสื่อออนไลน์ พ.ศ.2550 - 2553

Fri, 2010-12-10 18:00

นับ แต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 พบว่า มีการดำเนินคดีตามกฎหมายนี้แล้วทั้งสิ้น 185 คดี และ มีคำสั่งศาลให้ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ 117 ฉบับ เพื่อปิดกั้นการเข้าถึง 74,686 ยูอาร์แอล

สถิติการดำเนินคดี
จากคดีความทั้งหมด 185 คดี พบว่าส่วนใหญ่เป็นการฟ้องร้องจาก "เนื้อหา" ในอินเทอร์เน็ต เช่น การด่าทอ การหลอกลวง การดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯลฯ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 14 - 16 มีจำนวนทั้งสิ้น 128 คดี ขณะที่คดีอันเกี่ยวกับ "ระบบ" เช่น การเข้าสู่ระบบโดยมิชอบ การฉ้อโกงโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ การเผยแพร่โปรแกรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 5-13 มีจำนวนทั้งสิ้น 45 คดี และไม่ทราบข้อมูลจำนวน 12 คดี

หากลองจัดหมวดหมู่ความผิด สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ หนึ่ง การหมิ่นประมาทบุคคล 54 คดี สอง การฉ้อโกง 38 คดี สาม การดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ 31 คดี สี่ การเผยแพร่สิ่งลามก 12 คดี ห้า การขายโปรแกรมที่ผิดกฎหมาย 10 คดี หก ความผิดในแง่ตัวระบบคอมพิวเตอร์โดยตรง 8 คดี เจ็ด เนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคง 6 คดี และแปด เรื่องอื่นๆ และเรื่องที่ไม่สามารถระบุได้อีก 26 คดี

มีข้อสังเกตว่า คดีส่วนใหญ่เป็นความผิดเช่นเดียวกับความผิดทั่วไป แต่เมื่อมีระบบคอมพิวเตอร์มาเกี่ยวข้องก็อาจเป็นอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้ เช่น มาตรา 14 (1) กล่าวถึงความผิดอันเกิดจากการปลอมแปลงหรือนำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อัน เป็นเท็จ ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้ตั้งใจให้ใช้กับการหมิ่นประมาท แต่พบว่ามีคดีหมิ่นประมาทที่ฟ้องด้วยพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์สูงมาก ทั้งที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทก็มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 กับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 บังคับใช้อยู่แล้ว และการตั้งข้อหาตามมาตรา 14 (1) นี้ยังถูกนำมาใช้กับกรณีการหลอกลวงกันตามเว็บบอร์ดสนทนา ทั้งที่ก็มีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เรื่องการฉ้อโกง

ในทางปฏิบัติ การฟ้องคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มักตั้งข้อหาควบคู่กับกฎหมายอื่นๆ การตีความอาชญากรรมคอมพิวเตอร์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่า เนื้อหาของพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เปิดโอกาสให้สามารถตีความได้ และผู้บังคับใช้กฎหมายก็มักนำพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาใช้อย่างสับสน จนกระทบกระเทือนต่อการสื่อสารบนโลกออนไลน์

ความผิดที่เนื้อหากระทบต่อ ความมั่นคงซึ่งกำหนดไว้ทั้งในมาตรา 14(2) อันว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความ มั่นคง และมาตรา 14 (3) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย น่าสงสัยว่าในเมื่อมี (3) ซึ่งฐานความผิดเชื่อมโยงไปยังประมวลกฎหมายอาญาที่เขียนไว้ชัดเจนแน่นอนอยู่ แล้ว เหตุใดจึงต้องมี (2) ซึ่งใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือไว้อีกด้วย มาตรา 14 (2) และ (3) จึงอาจเปิดช่องให้มาตรานี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความขัดแย้ง จำนวนคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกมาก

ทั้ง นี้ คดีความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ มักจะถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 14(2) และ (3) และมีถึง 25 จาก 31 คดี ที่ถูกตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกชุดให้ความสำคัญเป็นนโยบายเร่งเอาผิด เมื่อประกอบกับตัวบทกฎหมายที่กล่าวมานี้ซึ่งยังมีปัญหาความคลุมเครือของถ้อย คำอยู่มาก จึงมีคดีจำนวนไม่น้อยที่อาจกล่าวได้ว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม

สำหรับ ความผิดฐานเผยแพร่ภาพลามก เป็นความผิดทั้งตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (4) และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 ซึ่งสองมาตรานี้น่าจะมีลักษณะเป็นกฎหมายเฉพาะกับกฎหมายทั่วไป เพราะฉะนั้นหากเป็นการเผยแพร่ในโลกออนไลน์จึงต้องใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับเดียวเท่านั้น ในฐานะที่เป็นกฎหมายเฉพาะยกเว้นกฎหมายทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ตั้งข้อหาควบคู่กันไปทั้งสองมาตรา จนอาจมีคำถามว่าถูกต้องหรือไม่

สถิติการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์
สิทธิของ ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตามกรอบที่ปรากฏในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น เขียนขึ้นบนความคาดหวังของสังคมที่หวังให้สถาบันศาลมีบทบาทช่วยกลั่นกรองการ ใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ โดยมาตรา 20 ให้อำนาจไว้ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลเพื่อขอให้มีคำ สั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ แทนที่การปฏิบัติแบบเดิมๆ ที่เจ้าหน้าที่อาจใช้อำนาจสั่งปิดเว็บต่างๆ ได้ทันที

จากสถิติพบว่า ในปี 2550 มีคำสั่งศาล 1 ฉบับ เพื่อระงับการเข้าถึง 2 ยูอาร์แอล ปี 2551 จำนวน 13 ฉบับ เพื่อระงับการเข้าถึง 2,071 ยูอาร์แอล ปี 2552 จำนวน 64 ฉบับ เพื่อระงับการเข้าถึง 28,705 ยูอาร์แอล ปี 2553 จำนวน 39 ฉบับ เพื่อระงับการเข้าถึง 43,908 ยูอาร์แอล รวมทั้งสิ้น สามปีนับแต่ประกาศใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีหมายศาลออกมาแล้วทั้งสิ้น 117 ฉบับ เพื่อระงับการเข้าถึง 74,686 ยูอาร์แอล

เหตุผลของคำสั่งปิดกั้น ที่สูงเป็นอันดับหนึ่งคือ มีเนื้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จำนวน 57,330 ยูอาร์แอล อันดับสองคือ มีเนื้อหาและภาพลามก 16,740 ยูอาร์แอล อันดับสามคือ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำแท้ง 357 ยูอาร์แอล อันดับสี่คือ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเล่นการพนัน 246 ยูอาร์แอล และอันดับห้า เป็นเรื่องอื่นๆ อีกเล็กน้อย เช่น การดูหมิ่นศาสนา การทำ Phishing/Pharming (การทำหน้าเว็บปลอมลอกเลียนแบบ) กระทั่งเคยมีหมายศาลให้ระงับการเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่อาจทำให้เข้า ใจรัฐบาลผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์การควบคุมการชุมนุมจนอาจก่อให้เกิดความปั่น ป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน

นอกจากการปิดกั้นโดยคำสั่งศาล ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แล้ว ทีมวิจัยยังพบอีกว่า เจ้าหน้าที่รัฐปิดกั้นด้วยวิธีการอื่นด้วย เช่น การส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการ และที่สำคัญคือ การใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งแหล่งข้อมูลบอกว่า เว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้นตามคำสั่งศอฉ.นั้น เป็นตัวเลขหลักหลายหมื่น ในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่ศอฉ. มีคำสั่งปิดกั้นโดยใช้วิธีระบุเป็น "ช่วงตัวเลข" ของหมายเลขไอพี ลักษณะนี้ย่อมกระทบต่อเว็บไซต์จำนวนมากซึ่งอาจเป็นเว็บไซต์ทั่วไปทั้งที่ผิด และไม่ผิดกฎหมายแต่มีที่อยู่อยู่ในช่วงหมายเลขไอพีดังกล่าวเท่านั้น

มี ข้อสังเกตว่า ศาลใช้เวลารวดเร็วพิจารณาคำร้องวันต่อวันก่อนสั่งปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ จากคำสั่งศาล 117 ฉบับ มีถึง 104 ฉบับที่ศาลมีคำสั่งในวันเดียวกับที่ยื่นคำขอ ซึ่งมีผลปิดกั้นเว็บไซต์ทั้งหมด 71,765 ยูอาร์แอล เฉลี่ยแล้วเท่ากับสั่งปิดกั้นวันละ 690 ยูอาร์แอล นอกจากนี้ยังพบว่า จำนวนเว็บไซต์ที่ถูกสั่งปิดกั้นจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณในช่วงที่มีการชุมนุม เรียกร้องทางการเมือง

นอกจากแนวนโยบายเร่งปิดกั้นเว็บไซต์ ดำเนินคดีกับผู้ใช้และผู้ให้บริการแล้ว รัฐบาลยังมีจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยอินเทอร์เน็ต (ลูกเสือไซเบอร์) มีการเซ็นสัญญาความร่วมมือ (MOU) 3 กระทรวง คือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อช่วยตรวจสอบอินเทอร์เน็ต แจ้งเตือนเนื้อหาไม่เหมาะสม ด้านหน่วยทหารก็มีหน่วยงานสร้างสื่อของรัฐในเชิงตอบโต้ เช่น เครือข่ายกรมพลาธิการทหารเรือเพื่อส่งเสริมและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์บน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต

เปรียบเทียบสถานการณ์ กฎหมายกับสื่อออนไลน์ในต่างประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบการใช้กฎหมายและนโยบายในต่างประเทศที่มีต่อการแสดงความคิดเห็นและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในอินเทอร์เน็ต พบว่า ประเทศมาเลเซีย แม้ไม่มีกฎหมายที่กล่าวถึงสื่อออนไลน์โดยตรง แต่พบว่ารัฐบาลสามารถใช้วิธีตีความกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ให้กว้างออก เช่น ระหว่างที่รัฐตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ฝ่ายบริหารมีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ห้ามแลกเปลี่ยนกันเรื่องความเป็นพลเมือง อำนาจอธิปไตย ยังมีกฎหมายเรื่องความลับของราชการ มีกฎหมายความมั่นคงภายใน และกฎหมายว่าด้วยการจลาจล

ด้านประเทศจีน เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์ ประชาชนแทบจะไม่สามารถแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้ มีทั้งนโยบายและกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและควบคุม สื่ออย่างเป็นระบบ โดยผูกขาดการให้บริการโทรคมนาคม กำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและผู้สร้างเว็บไซต์มีหน้าที่ตรวจสอบ เนื้อหา และยังมีซอฟต์แวร์ที่ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์

ขณะที่สหพันธรัฐเยอรมนี นอกจากการคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากสื่อลามกแล้ว การเผยแพร่ลัทธิฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง การพนันที่ไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่เนื้อหาเหล่านี้ กฎหมายกำหนดองค์ประกอบไว้ชัดเจนไม่คลุมเครือ สามารถขอให้ศาลตรวจสอบได้

ด้านสหรัฐอเมริกา ถือว่ามีเสรีภาพในสื่อออนไลน์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความคิดเห็นทางการเมือง แต่มีข้อจำกัดสองประการ คือ การคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากสื่อลามกและความหวาดกลัวต่อภัยก่อการร้าย ซึ่งทำให้รัฐบาลมีมาตรการสอดส่องเฝ้าระวังข้อมูลออนไลน์ได้ โดยมีกฎหมายเฉพาะที่นำไปสู่การปิดกั้นเว็บไซต์และจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน มาก

รายงานสถานการณ์การควบคุมและปิดกั้นสื่อออนไลน์ด้วยการอ้างกฎหมายและแนวนโยบายแห่งรัฐไทย



 



 

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อย่ารับโทรศัพท์ขณะกำลังชาร์จ

somboonsae​lao

อย่ารับโทรศัพท์ขณะกำลังชาร์จ   
เมื่อไม่กี่วันก่อน  ชายคนหนึ่งชาร์จโทรศัพท์ไว้  ที่บ้าน มีโทรศัพท์เข้ามา 
เขารับโทรศัพท์ทั้งๆที่โทรศัพท์ยังเสียบปลั๊กอยู่ 
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที กระแสไฟฟ้าได้ไหลผ่านโทรศัพท์เข้าสู่ตัวเขา&n bsp;
เขาล้มลง  กับพื้นเสียงดังมาก    พ่อแม่ของเขารีบมาที่ห้อง
และพบเขาหมดสติ   ชีพจรเต้นอ่อน  และนิ้วมือเป็นรอยไหม้ < /SPAN>   
เขาถูกส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างด่วน   
แต่หมอบอกว่า  เสียชีวิตระหว่างทาง  &! nbsp;   
โทรศัพท์มือถือเป็นนวตกรรมที่มีประโยชน์มาก   
แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็น เครื่องมือที่นำไปสู่ความตายได้เช่นกัน   
ไม่ควรใช้โทรศัพท์ขณะกำลังเสียบปลั๊ก  อยู่ 

กรุณาส่งข้อความนี้ไปให้มากที่สุด ศรีมาลี โลณะปาลวงศ์ แผนกควบคุมคุณภาพ 0-2283-5375



วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ

มาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ

อีเมล พิมพ์ PDF
User Rating: / 3
แย่ดีที่สุด 

 ปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังจะเห็นได้จากผลการสำรวจโดยกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสาธารณสุขไทย และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ซึ่งมีผลการสำรวจค่อนข้างละเอียด ในทุกแง่มุมเกี่ยวกับผู้สูงอายุ (หากสนใจสามารถค้นหาได้จากรายงานการสำรวจดังกล่าว) พบว่า จำนวนและอัตราส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทุกปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากอายุคาดเฉลี่ยของคนไทยสูงขึ้น ประกอบกับอัตราเกิดของประชากรไทยลดลง
อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ หน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชน แสดงความเป็นห่วงกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยได้มีมาตรการต่าง ๆ ช่วยเหลือมากมาย เช่น การปรับอาคาร สถานที่ อุปกรณ์การดูแล และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ การตั้งสถานบริบาลผู้สูงอายุที่แยกออกจากบ้านพักคนชรา รวมถึงการส่งเสริมการออมเพื่อการชราภาพ
 กรมสรรพากรแม้มีภารกิจหลักในการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ  แต่ในอีกบทบาทหนึ่งก็มีส่วนช่วยพัฒนาสังคม โดยในประเด็นของผู้สูงอายุแม้มิได้เป็นประเด็นใหม่แต่อย่างใด อย่างไรก็ดีกรมสรรพากรก็ได้มีมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระภาษีของ ผู้สูงอายุ หรือสำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
  1. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่อยู่ในประเทศไทย  เฉพาะเงินได้ที่ได้รับส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาทในปีภาษีนั้น ซึ่งผู้มีเงินได้สามารถเลือกใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 190,000 บาทในปีภาษีนั้นออกจากเงินได้ประเภทใดก็ได้ที่ได้รับ  และนำเงินได้หลังใช้สิทธิมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ
  2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร เฉพาะดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป  ดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทรวมกันมีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 30,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น และผู้มีเงินได้ที่ได้รับสิทธิต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์  หากดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทรวมกันมีจำนวนเกิน 30,000 บาท ตลอดปีภาษี ให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายทั้งจำนวน  และนำส่งกรมสรรพากร
  3. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินบำเหน็จดำรงชีพ มาตรการนี้ช่วยเหลือผู้สูงอายุที่รับบำนาญ แต่ต้องการใช้เงินที่เป็นบำเหน็จตกทอดขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้สูงอายุที่รับบำเหน็จดำรงชีพตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินบำเหน็จดำรงชีพนั้น
 รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ในลักษณะเดียวกับบำเหน็จดำรงชีพของพนักงานการท่า เรือแห่งประเทศไทย พนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยและพนักงานธนาคารออมสินที่ได้รับโดยมีอัตราและ วิธีการคำนวณเช่นเดียวกับบำเหน็จดำรงชีพตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จ บำนาญข้าราชการและกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
  4. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุน สำรองเลี้ยงชีพในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้างเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น และยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ลูกจ้างได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณ อายุ ทุพพลภาพหรือตาย โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้มีเงินได้จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์
 5. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่จ่ายเป็นเงินสะสมเข้ากองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  เนื่องจากออกราชการเพราะเหตุสูงอายุ เหตุทุพพลภาพ เหตุทดแทน หรือตาย
 6. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนใน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)  ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้  แต่รวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนรวม     หรือ กบข. ต้องไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น และยกเว้นภาษีเงินได้หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจากกองทุนรวม  ได้รับเงินจากกองทุนดังกล่าว เพราะเหตุสูงอายุ เหตุทุพพลภาพ เหตุทดแทน หรือตาย
  7. การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับบุตรที่เลี้ยงดูบิดาหรือมารดา บิดาหรือ มารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  โดยบิดาหรือมารดาจะต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้นๆ บุตรที่มีเงินได้สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้คนละ 30,000 บาท บิดาหรือมารดาจะรวมถึงบิดาหรือมารดาของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ด้วย กรณีนี้จะให้สิทธิทางภาษีแก่บุตรที่เลี้ยงดูแต่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่อง กับผู้สูงอายุเช่นกัน
 8. การหักค่าลดหย่อนเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคให้แก่กองทุนผู้สูงอายุ 
 - กรณีบุคคลธรรมดา บริจาคเงินสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษี ได้เท่ากับจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ
 - กรณีนิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน สามารถนำรายจ่ายมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ตามจำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
  9. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับบุตรที่ได้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพบิดาหรือมารดาของผู้มีเงินได้  รวมทั้งบิดาหรือมารดาของคู่สมรสของผู้มีเงินได้ด้วย โดยบิดาหรือมารดาจะต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้นๆ ทั้งนี้จะยกเว้นภาษีเท่ากับค่าเบี้ยประกันเท่าที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 15,000 บาท ในปีภาษีนั้น 
  10. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเงินสมทบเข้ากอง ทุนสงเคราะห์ ฯ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษี และยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินได้หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนได้รับจากกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วย โรงเรียนเอกชนเมื่อออกจากงานเพราะเหตุสูงอายุ ทุพพลภาพหรือตาย
 ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กรมสรรพากรมีมาตรการสำคัญที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้สูงอายุ บุตร   ผู้มีเงินได้ของผู้สูงอายุ มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนและส่งเสริมการออม ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส โดยการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหลากหลายรูปแบบตามที่กล่าวมา ข้างต้น ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน สังคมและประเทศชาติโดยรวม

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,584 18-20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=47629:2010-11-17-03-27-12&catid=206:2010-06-21-06-14-52&Itemid=578



--

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไข่กุ้งคนญี่ปุ่นเรียกว่า โทบิโกะ (tobiko) คือ ไข่ของปลา flying fish พบตามชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น





วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:11:31 น.  มติชนออนไลน์

ชอบกินกันจริง ชอบกินกันจัง ไข่กุ้งคืออะไรรู้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้คลิกเลย จะได้รู้ว่าหม่ำอะไรเข้าไป

ไข่กุ้งคนญี่ปุ่นเรียกว่า โทบิโกะ (tobiko) คือ ไข่ของปลา flying fish พบตามชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ลำตัวมีความยาว 35 ซ.ม. จับได้ในช่วงเวลาวางไข่ต้นฤดูร้อน


ไข่ของปลา flying fish มีขนาดเล็กประมาณ 0.5-0.8 มม ตามปกติจะมีสีส้มแดง รสออกเค็มอ่อนๆ บางครั้งนำไปย้อมเป็นสีอื่น เช่น ย้อม วาซาบิได้ไข่สีเขียว ย้อมขิงได้ไข่สีส้ม หรือย้อมกับหมึกของปลาหมึกจะได้สีดำ ไข่กุ้งนิยมนำมาทำแคลิฟอร์เนียโรล ซูชิ และคานาเป้ เป็นต้น


วิธีเก็บรักษา คือ นำใส่ถุงมัดปากถุงให้สนิท แล้วเก็บใส่กล่องพลาสติกปิดฝาให้สนิท นำเข้าแช่ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส
 




http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1287288812&grpid=01&catid=

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

เจาะข่าวตื้น ตอน เสธ ไก่อบ

โดนอ่ะ... ไม่ขึ้นตรงต่อใครเลย

ให้ความรู้ดีอ่ะ หลายอย่างที่ไม่รู้เพราะฟังมาแต­่ฝ่ายเดียว ดูอย่างนี้ละกระจ่าง

ความจิง เน่ามันทุกฝ่าย +ความฮา สะบัด ชอบๆๆๆๆ

จอห์น วิญญู นายแน่มาก....ชอบๆ 


วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดีมีใน กทม.แล้วด้วย







สำหรับทุกท่าน

เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการป้องกันตัวเอง

 

From: windy_jeed26@hotmail.com

Subject: ระวัง อันตรายมาก ควรอ่าน
Date: Fri, 20 Aug 2010 13:58:48 +0700

 โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดีมีใน กทม.แล้วด้วย


http://202.142.219.4/uploads/102/102942.jpg
เรียก อีกอย่างว่า แมลงก้นกระดกค่ะ ลุงแว่น


ที่กำแพงแสนมีจนจะเรียกได้ว่า เป็น
1
ในกลุ่มประชากรแล้วค่ะ

เพราะมี คณะเกษตรภาคพืชไร่อ่ะค่ะ เห็นว่า ปลูก ต้นอะไรสักอย่างที่แมลงชนิดนี้ชอบ
อีก อย่างที่ต้องระวังคือ ถ้าเจอ ห้ามตบห้ามตีค่ะ เพราะ ถ้าตัวมันแตก สารที่ไหลออกมา
จะเป็นตัวเรียกเพื่อนมันมาค่ะ
เห็นเพื่อนที่อยู่หอในมหาลัย บอกว่า ถ้าเจอให้ใช้เทปแปะ
ให้มันอยู่กับที่แล้วตายไปเองค่ะ


อ้อ จะบอกว่า ไบกอน ฆ่าไม่ตายค่ะ เป็นแมลงวิวัฒนาการสูง โปรดทราบ และ ระวังด้วย
ชื่อ ทางการของมันชื่อ แมลงด้วงน้ำมัน
ถ้าโดนแล้วห้ามเกาเด็ดขาด เพราะมันจะลามไปเรื่อยๆ
หนองหรือน้ำเหลืองของเราจะทำให้ลามจากอีกจุดเพิ่มเป็นอีกจุดลาม เป็นแผล ใหญ่


และที่สำคัญตอนนี้แมลงนี้มีอยู่ใน กทม. แล้ว ด้วย


เรียน ทุกท่านทราบ

เพื่อเป็นการเตือนถึงอันตรายของแมลง และ อาการที่เกิดขึ้น

(
ามภาพ ที่แนบมา) ดร.วัฒนา อู่วาณิชย์ เพื่อนที่ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ได้ส่งเมล์มาให้เพื่อกระจายข่าวต่อด้วย ค่ะ

โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดี คนหลายคนถูกแมลง ชนิดนี้ทำร้ายหลายรายแล้ว
หากโดน กรุณาพบแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นแผลจะลุกลามไปรวดเร็วมาก
แมลง ชนิดนี้จะไม่กัดหรือต่อย แต่ฉี่ของมันมีความเป็นกรดสูงมากและเป็นสาเหตุ
ให้เกิดแผล ซึ่งหาก เกิดเป็นแผล
แล้วเอามือไปถูกแผลนั้นให้รีบล้างมือโดยเร็ว
มิ ฉะนั้นจะเกิดแผลลุกลามไปยังที่ๆ เอามือไปสัมผัสต่อไปอีก

 
 
 


 


 http://203.157.132.1/webboard/index.php?PHPSESSID=vrp9dhaej42im8aic9md7lqlk6&action=dlattach;topic=696.0;attach=163;image
http://203.157.132.1/webboard/index.php?PHPSESSID=vrp9dhaej42im8aic9md7lqlk6&action=dlattach;topic=696.0;attach=164;image
http://203.157.132.1/webboard/index.php?PHPSESSID=vrp9dhaej42im8aic9md7lqlk6&action=dlattach;topic=696.0;attach=165;image
http://203.157.132.1/webboard/index.php?PHPSESSID=vrp9dhaej42im8aic9md7lqlk6&action=dlattach;topic=696.0;att
http://tddf.or.th/tddf/library/images/library-2008-06-16-475.jpg
 

 

โปรดส่งต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรู้แล้วจะได้ป้องกัน

 

 











--

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

3G ประเทศไทยในปัจจุบัน

3G ประเทศไทยในปัจจุบัน<http://www.icez.net/blog/845/3g-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%...>

September 15th, 2010 by icez | Posted in
Misc<http://www.icez.net/blog/topics/misc>
 |

จาก entry ที่แล้ว ... ทีนี้มีคนมาถามว่า แล้วตกลงไอ้ 3G
ในไทยที่ค่ายโน้นค่ายนี้เค้าโฆษณากันใหญ่โตนั่น ตกลงตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง
งงไปหมดแล้ว (ผมด้วย) ก็เลยลองมารวบรวมสรุปสถานการณ์ให้ดูคร่าวๆ ครับ
ไล่ลำดับกันทีละค่ายเลยละกันนะครับ

**** ข้อมูลหาอ้างอิงไม่เจอ หากมีความผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ ****
**** ข้อมูลเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553
(เขียนดักไว้ก่อนเผื่อวันหลังย้อนมาอ่าน) ****

AIS

   - คลื่นความถี่ย่าน 900 MHz จากคู่สัมปทาน TOT
   - มีการใช้งานในระบบ 2G ปัจจุบันของ AIS หนาแน่นมาก ทำให้ติดตั้งมากไม่ได้
   - ใช้ติดตั้งระบบ 3G UMTS/WCDMA ได้สบาย เป็นคลื่นในย่าน low band สากล
   - ปัจจุบันมีเปิดใช้ในระบบ 3G พื้นที่เล็กๆ ในเขต อำเภอเมืองเชียงใหม่,
   หัวหิน ประจวบฯ, นครราชสีมาบางส่วน, ชลบุรี
   - ในกรุงเทพฯ มีใช้ได้สองจุดคือ สยามพารากอน และดิจิตอลเกตเวย์
   - ความเร็วปัจจุบัน 7.2/5.76mbps HSUPA (ยกเว้นหัวหินได้ถึง 21mbps)
   - ให้บริการเชิงพาณิชย์ได้เต็มรูปแบบ คือจะใช้ก็ต้องจ่ายตังค์ว่างั้น
   - ตอนนี้ถ้าอยู่พื้นที่ 3G และมือถือรับสัญญาณ 3G AIS ได้ จะสามารถใช้สัญญาณ
   3G แทน EDGE ได้โดยไม่เสียค่าบริการเพิ่ม แต่จำกัดความเร็วที่ WCDMA 384kbps

DTAC

   - คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz ขนาด 10MHz (2 ช่องสัญญาณ) จากคู่สัมปทาน CAT
   - เกิดมาได้พักนึงแล้ว แต่ไม่ได้มีการนำมาใช้งานจริงจัง *
   เนื่องจากติดข้อกำหนดด้านกฎหมาย*
   - ไม่ได้ซิกแซกแบบ True ที่เกือบโดน CAT ยึดความถี่คืนด้วย
   - เปิดให้ใช้บริการเฉพาะผู้ที่ได้รับคัดเลือก พื้นที่กรุงเทพมหานครบางส่วน
   เช่นสยาม, จุฬา, ...

TrueMove

   - คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz ขนาด 5MHz (1 ช่องสัญญาณ) จากคู่สัมปทาน CAT
   ที่เกลี่ยมาจาก DTAC อีกที
   - ช่วงแรก ซิมเติมเงินใช้ได้ฟรีพักใหญ่ๆ จำกัดความเร็วที่ 2mbps
   พื้นที่ประมาณ 50% ของกรุงเทพ
   - ช่วงหลังๆ (จริงๆ ก็ตั้งแต่เริ่มขาย iphone) ขายพ่วงโปรโมชั่นกับ iPhone ,
   BlackBerry และ Moto Milestone เท่านั้นถึงจะใช้ได้
   - ถ้าไม่มีโปรโมชั่นพวกนั้น จะเจอค่าบริการมหาโหดเท่ากับ GPRS/EDGE ที่ KB
   ละ 12 สต. (ราวๆ MB ละร้อยกว่าบาท)
   - ปัจจุบันพื้นที่ให้บริการ <http://www.truemove.com/th/service-3g-3.html>
   ครอบคลุมถือว่าค่อนข้างทั่วกรุงเทพและปริมณฑล
   - ต่างจังหวัด ใช้ได้ที่พัทยาหย่อมนึง
   ชายฝั่งด้านตะวันตกของภูเก็ตเกือบทั้งหมด และอำเภอเมืองเชียงใหม่อีกหย่อมนึง

TOT Mobile (และ MVNO สารพัดชื่อ)

   - เป็นรายเดียวในปัจจุบันที่เปิดให้บริการ 3G ที่คลื่นมาตรฐาน (ย่าน 2100
   MHz) ที่ความถี่ 2155-2170 MHz ขนาด 3 ช่องสัญญาณ
   - ได้มาจากการซื้อหุ้น ThaiMobile มาจาก CAT แล้วเอามาทำใหม่อีกที
   - โครงการเฟสแรก ติดตั้งประมาณ 500 site ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
   ใช้งานจริงอยู่ ที่ความเร็ว 7.2 - 14.4mbps แล้วแต่เสา
   - จุดอับสัญญาณค่อนข้างเยอะ เนื่องจาก site ยังค่อนข้างห่างกัน
   และความถี่สูงมากทำให้ส่งได้ระยะทางใกล้ๆ
   - เปิดให้รายย่อยเปิดให้บริการในนาม MVNO หลายรายในปัจจุบัน
   - สาเหตุที่ขยายบริการต่อไม่ได้ เนื่องจาก
   ครม.ตีกลับแผนการขยายสัญญาณไปหลายรอบแล้ว (เซ็ง)

Hutch

   - ให้บริการในระบบ CDMA ย่าน 800MHz (ถ้าดูช่วงความถี่ จะเป็นช่วงใกล้ๆ
   กันกับ 850MHz ที่ให้ True/DTAC ใช้)
   - มีพื้นที่ที่เป็น 3G คือ EV-DO Rel.0 ความเร็ว 2.4mbps/153.6kbps
   อยู่บ้างบางส่วน
   - ให้บริการในเขต 25 จังหวัดภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตก
   - ทำท่าจะโดน CAT ซื้อคืน แต่ก็โดนตีกลับไปหลายรอบแล้วเหมือนกัน

CAT CDMA

   - ให้บริการในระบบ CDMA ย่าน 800MHz เหมือน Hutch
   - พื้นที่ให้บริการ*ทั้งหมด*เป็น 3G แล้วในระบบ EV-DO Rev.A ที่ความเร็ว
   3.1/1.8mbps
   - ให้บริการในเขต 51 จังหวัดภาคเหนือ อีสาน ใต้
   - พื้นที่ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศไทย และใช้งานได้จริงในราคาไม่แพงเกิน
   (net unlimit 790 บาทต่อเดือน)
   - ร่ำๆ จะ take over Hutch เพื่อให้พื้นที่ครอบคลุมทั่วไทย 100%
   หลายรอบแล้วแต่ติดอะไรซักทีก็ไม่รู้

ที่มา http://www.icez.net/blog/