วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขสมก.จัดแผนเดินรถพร้อมป้องกันลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 2554 - 4 ม.ค.2555

ขสมก.จัดแผนเดินรถ พร้อมแผนป้องกัน ลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่

ขสมก.จัดแผนเดินรถพร้อมป้องกันลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 54-4 ม.ค.55 พร้อมเปิดสายด่วน 184 สอบถามเส้นทางรถเมล์ตั้งแต่ 06.00-22.00 น. ทุกวัน

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน ประชาชนส่วนใหญ่จะนิยมเดินทางไปพักผ่อนยังสถานที่ต่างๆ หรือกลับภูมิลำเนาเดิม แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่นิยมเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ไปร่วมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2555 ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้นขสมก. จึงได้จัดทำแผนการเดินรถให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน พร้อมแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว และสามารถเดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย โดยมีรายละเอียด ประกอบด้วย 1. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่ง 4 สถานี จำนวน 28 เส้นทาง ซึ่งวิ่งบริการผ่านสถานีขนส่ง 4 สถานี ได้แก่ สถานีขนส่งกรุงเทพฯ จตุจักร, สถานีขนส่งกรุงเทพฯ สายใต้, สถานีขนส่งกรุงเทพฯ เอกมัย, สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยได้เพิ่มเที่ยววิ่งช่วงเดินทางขาเข้า ตั้งแต่วันที่ 28 - 31 ธันวาคม 2554 และขาออกตั้งแต่วันที่ 2 - 4 มกราคม 2555 2. จัดเดินรถ Shuttle Bus เฉพาะกิจ จำนวน 2 เส้นทาง โดยจัดรถฟรีให้บริการ ดังนี้ วันที่ 30 ธันวาคม 2554 ให้บริการ 2 เส้นทางคือ จตุจักร-BTS-อู่กำแพงเพชร 2 และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ - อู่กำแพงเพชร 2 เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 - 22.00 น. 

ส่วนวันที่ 2 มกราคม 2555 ให้บริการเส้นทาง จตุจักร-BTS-อู่กำแพงเพชร 2 เริ่มตั้งแต่เวลา 04.30 - 06.30 น. และ 3. จัดโครงการเดินรถไหว้พระรอบเกาะรัตนโกสินทร์ 10 วัด จำนวน 50 คัน โดยจัดรถฟรีบริการจากท่าต้นทางบริเวณอู่กำแพงเพชร 2 ผ่านวัดต่างๆ 10 วัดได้แก่ วัดเบญจมบพิตร,วัดสามพระยา,วัดบวรนิเวศวรวิหาร,วัดชนะสงคราม, วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์), วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดสุทัศนเทพวราราม, วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร, วัดอนงคาราม, วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เริ่มให้บริการคันแรกตั้งแต่เวลา 08.00 น. คันสุดท้ายออกจากท่าเวลา 18.00 น. ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม - 3 มกราคม 2555 โดยเฉพาะคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2554 จะให้บริการตลอดคืน 4. จัดเดินรถในช่วงส่งท้ายปีเก่า - ต้อนรับปีใหม่ 2555 ในกรุงเทพมหานคร ช่วงคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ได้ขยายเวลาการเดินรถในเส้นทางที่ผ่านสถานที่จัดงาน Count Down เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สะพานพระราม 8, ถนนข้าวสาร, ลานคนเมืองศาลาว่าการ กทม. ฯลฯ จนถึงเวลา 01.00 น. ของวันถัดไป 

นอกจากนี้ ขสมก.ได้จัดทำแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2555 โดยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือ สำหรับด้านความปลอดภัย ให้พนักงานจ่ายงาน นายท่าอู่ สอดส่องดูแลสภาพความพร้อมทางร่างกายของพนักงานประจำรถ มิให้มีการดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด พร้อมย้ำเตือนพนักงานขับรถให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เปิด-ปิดประตูอัตโนมัติทุกครั้งขณะนำรถเข้าออกจากป้าย เช็กสภาพรอบตัวรถและภายในรถก่อนออกให้บริการ นอกจากนี้ให้พนักงานคอยสังเกตพฤติกรรมต้องสงสัย หากพบเห็นสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณใกล้ที่สุด ด้านอำนวยความสะดวก จัดเที่ยววิ่งให้บริการรองรับประชาชนที่จะเดินทางไป-กลับสถานีขนส่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการ จัดเจ้าหน้าที่ ขสมก.ประจำบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ และป้ายหยุดรถที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการขึ้น-ลงรถโดยสารของผู้ใช้บริการ โดยประชาชน ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนำบริการได้ที่ศูนย์คอลเซ็นเตอร์ 184 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 22.00 น. และสามารถส่ง SMS ที่หมายเลข 4264998 ได้ตลอดเวลา

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

30 ธันวาคม 2554, 22:45 น.

 

"พาณิชย์" เตรียมเปิดเฟซบุ๊กประจานร้านบริการห่วย-อาหารแพง

 

"พาณิชย์" เตรียมเปิดเฟซบุ๊กประจานร้านบริการห่วย-อาหารแพง

กรมการค้าภายใน ดันโครงการรถเข็นธงฟ้ารับมืออาหารแพงปี 55 โดยเปิดเว็บไซต์อาหารดี ราคาถูกเพื่อเป็นสื่อกลาง ส่วนร้านบริการห่วย อาหารแพง เล็งเปิดเฟซบุ๊กโพสต์ประจาน 

เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงการดูแลราคาอาหารปรุงสำเร็จ และอาหารตามสั่งในปี 55 ว่า กรมจะออกมาตรการดูแลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะโครงการมิตรธงฟ้า ที่ขายอาหารจานละ 25 บาท โดยจะปรับให้มีรายการอาหารที่หลากหลายขึ้นมากกว่า 1 รายการ ส่วนโครงการรถเข็นธงฟ้าก็จะพิจารณาของบประมาณมาผลักดันโครงการเต็มที่ และจะปรับราคาอาหารใหม่จากเริ่มต้นจานละ 17 บาท เป็น 25 บาท เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ด้วย

นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวเว็บไซต์ อาหารดี ราคาถูก เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ร้านอาหารมิตรธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการหลายพันรายทั่วประเทศ และร้านอาหารราคาประหยัดอื่นให้กับประชาชนทั่วไปรับทราบ และใช้บริการ ขณะเดียวกัน จะเปิดช่องทางสังคมออนไลน์ เครือข่ายเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ในการรับเรื่องร้องเรียน แจ้งเตือน ร้านอาหารที่ขายอาหารไม่เป็นธรรมแพงเกินจริง หรือคุณภาพไม่ดีเข้ามาในเว็บไซต์ของกรมฯ เพื่อเป็นการประจานให้สังคมรับทราบด้วย

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

30 ธันวาคม 2554, 22:11 น.

กินให้น้อยกลับบำรุงสมองได้ดี ยังเป็นโรคสมองฝ่อได้ยาก

กินให้น้อยกลับบำรุงสมองได้ดี ยังเป็นโรคสมองฝ่อได้ยาก

นักวิทยาศาสตร์เมืองมักกะโรนีพบเคล็ดว่า การคุมอาหารการกินให้น้อยลง จะช่วยให้สติปัญญายังคงดี เหมือนกับเมื่อยังหนุ่มสาว โดยได้พบว่า การคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดขบวนการของอณู ช่วยป้องกันสมองไม่ให้เสื่อมโทรมตามสังขาร เพราะการมีอายุ

วารสารวิชาการ "สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของสหรัฐฯ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์สถาบันพยาธิวิทยาทั่วไป คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคธอลิก อิตาลี ได้พบจากการศึกษากับหนู ซึ่งเลี้ยงให้กินอาการเพียงร้อยละ 70 ของปกติ พบว่าอาหารที่จำกัดแคลอรี ได้จุดชนวนของโมเลกุลโปรตีน "ซีอาร์อีบี 1" ่ให้ไปกระตุ้นกลุ่มยีนซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีอายุและการทำงานของสมองให้กระปรี้กระเปร่า

นักวิจัยจิโอ แซมแบตติสตา ปานี กล่าวว่า "เราหวังว่าจะพบวิธีกระตุ้นโปรตีนนี้ เพื่อจะรักษาให้สมองคงหนุ่มแน่น โดยไม่ต้องใช้การคุมอาหารอย่างเคร่งครัด"

พวกเขาเคยศึกษากับหนูพบมาก่อนว่า หนูที่ถูกควบคุมอาหาร แสดงความฉลาด และความจำดีขึ้น ดุร้ายน้อยลง และมักจะไม่ค่อยเป็น หรือกว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมก็ยังอีกนาน โดยยังไม่รู้ว่าสาเหตุเพราะอะไร.

โดย: ไทยรัฐฉบับพิมพ์

26 ธันวาคม 2554, 10:00 น.

เขียวหางไหม้ภูเก็ต..!! งูสายพันธุ์ใหม่ของโลก

เขียวหางไหม้ภูเก็ต..!! งูสายพันธุ์ใหม่ของโลก

ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม...เกิดกระแสข่าวที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อ งูเขียวกรีนแมมบ้า...เป็นสายพันธุ์นำเข้ามาจากต่าง ประเทศ ซึ่งมีพิษร้ายแรงมาก (กัดคนตายในเวลา 20 นาที) มีขนาดลำตัวยาว 2 เมตร และ 1 เมตร จำนวน 15 ตัว  หลุดออกจากกรงเลี้ยงย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี

กลุ่มนักวิจัยสัตว์เลื้อยคลาน และ ชมรมคนรักสัตว์เลื้อยคลาน...ก็ได้พยายามออกติดตามหาตัว มันอยู่ แต่กลับพบ งูเขียวหางไหม้สายพันธุ์ใหม่ โดยบังเอิญ...และได้นำมันมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายในงาน "วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2554" ซึ่งจัดขึ้นในสวนสัตว์นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23-26 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นายกีรติ กันยา รักษาการหัวหน้างานสัตว์เลื้อยคลาน สวนสัตว์นครราชสีมา หนึ่งในทีมวิจัยที่ค้นพบงูเขียวหางไหม้พันธุ์ใหม่ เผยว่า การค้นพบเกิดจากการที่ทีมงานวิจัยและตรวจสอบสภาพป่า ที่เป็นการรวมตัวกันของ ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานและคุ้มครองสัตว์ป่า ประกอบด้วย นายมนตรี สุมณฑา นักวิชาการประมง ระดับชำนาญการ สำนักงานประมงจังหวัดระนอง, มิสเตอร์โอลิเวียร์ โอ เอส จี พาว์เวล ผู้เชี่ยวชาญสัตว์เลื้อยคลานจากประเทศเบลเยียม, นายธวัช นิติกุล หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาพระแทว จ.ภูเก็ต นายสุวิทย์ พันนาดี ผู้อำนวยการโครงการคืนชะนีสู่ป่า มูลนิธิช่วยชีวิตสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย

"...ได้เดินทางสำรวจในป่าดิบชื้นแห่งหนึ่งในป่า เขาพระแทว บนเกาะภูเก็ต จนพบตัวมันและนำมาวิจัยเทียบเคียงสายพันธุ์ โดยสิ่งที่แตกต่างจากงูเขียวหางไหม้ทั่วไปนั้น จะมี ลวดลายที่เด่นชัดและเป็นระเบียบกว่า อีกทั้งมีจำนวนเกล็ดมากและถี่กว่า โดยงูเขียวหางไหม้สายพันธุ์ใหม่เพศผู้จะ มีลายที่ชัดเจนและเป็นระเบียบมากกว่าตัวเมีย และ มีจุดขาวอมฟ้าตามแนวกลางหลัง...

...ส่วนเพศเมียมี ลายพาดกลางหลัง มีแถบสีน้ำตาลแดงและเส้นสีขาวคาดจากส่วนท้ายของหัวทั้ง 2 เพศ บนหัวมัก  มีสีแดงเลือดนกแต้ม โดยเฉพาะเพศผู้เส้นข้างขอบท้องเป็นเส้นสีขาวหรือเขียวอ่อนอยู่ด้านบน และมีสีแดงด้านล่างจากคอถึงแนวทวารร่วม หางมีแถบสีน้ำตาลแดงคาดเป็นบั้งและไม่มีเส้นขอบหางตามยาว ใต้หางมีจุดประสีแดงและสีขาวขนสีเขียว และ เพศเมียมีสีเขียวอ่อน...เพศผู้จะมีสีเขียวเข้มกว่า..."

รักษาการหัวหน้างานสัตว์เลื้อยคลาน สวนสัตว์นครราชสีมาบอกต่อว่า เมื่อตรวจสอบพิษก็พบว่า เป็น งูที่มีพิษอ่อน อันตรายความรุนแรงของพิษคล้ายกันกับงูเขียวหางไหม้ ทั่วไป โดยหลังจากที่วิจัยมานานกว่า 2 ปี ก็ได้รับการตีพิมพ์รับรองจาก วารสารนานาชาติรัสเซียล เจอร์นัล ออฟเฮอร์ปิโตโลจี ว่าเป็น งูเขียวหางไหม้สายพันธุ์ใหม่ของโลก และได้มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า "...งูเขียวหางไหม้ภูเก็ตตามแหล่งที่พบ..."

สำหรับพฤติกรรมของ...งูเขียวหางไหม้ชนิดนี้ น่าจะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าดิบชื้นตามเกาะต่างๆทั่วไปในฝั่งทะเลอันดามัน มักอาศัยบนต้นไม้สูงแล้วซุ่มลงหากินในระดับต่ำใกล้พื้น อาหารหลักได้แก่ จิ้งจก และ หนูขนาดเล็ก มีนิสัยค่อนข้างดุ สามารถทำตัวเองให้แบนลง เพื่อเพิ่มแรงเกาะกิ่งไม้ได้ ในการสืบพันธุ์โดยการ ออกลูกเป็นตัว ตั้งท้องประมาณ 3 เดือน ออกลูกครั้งละ 8-10 ตัว...

ในการค้นพบครั้งนี้เป็นการยืนยันได้ว่า...ป่าในพื้นที่ของประเทศไทยยังคงมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพแฝงอยู่ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนควรที่จะรักษาป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์ เพื่อที่จะให้เป็นแหล่งให้ กำเนิดชีวิตของสัตว์และมวลสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกใบนี้...!!

 

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

โดย: ไชยรัตน์ ส้มฉุน

27 ธันวาคม 2554, 05:00 น.


 

สวทช.โชว์ 10 ผลงานเด่นไอเดียเก๋แปลงเสียงพูดในเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์

สวทช.โชว์ 10 ผลงานเด่นไอเดียเก๋แปลงเสียงพูดในเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์

สวทช.เผย 10 ผลงานวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 54 ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทย อาทิ เทคโนโลยีสังเคราะห์เสียงพูดในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ช่วยลดอุบัติเหตุทางรถยนต์ วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ระบบบำบัดน้ำเสียจากวัสดุธรรมชาติทำให้น้ำใสหายเหม็นลดจำนวนยุง...

ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผย 10 ผลงานวิทยาศาสตร์ไทยดีเด่นประจำปี 2554  ว่า 

 1.เทคโนโลยีสังเคราะห์เสียงพูด "วาจาเวอร์ชั่น 6.0" สามารถทำให้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์สามารถเปล่งเสียงอ่านให้ได้ยินได้ เป็นทางเลือกใหม่ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ 

 2. วัคซีนลูกผสมเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ เพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกจากไวรัสเด็งกี่ 4 สายพันธุ์ครั้งแรกของโลก โดยให้ใบอนุญาตบริษัทเอกชนรับสิทธิไปพัฒนาต่อเป็นวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในอนาคตอันใกล้ คาดว่าใช้เวลาประมาณ 10 ปี หรือเร็วกว่านั้น 

 3. ถุงเพาะชำย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ซึ่งทำจากแป้งมันสำปะหลัง สามารถลดปริมาณขยะ ลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะ และป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม 

 4.เอนไซม์ทนด่างจากแบคทีเรียในลำไส้ปลวก สำหรับอุตสาหกรรมฟอกเยื่อกระดาษ  ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม  

 5.แผ่นกรองอากาศมัลติฟังก์ชั่น มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา กำจัดแก๊ส หรือไอระเหยของสารเคมี และกำจัดกลิ่นต่างๆ ได้ เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ในการลดมลพิษทั้งทางเคมีและชีวภาพ 

 6. เซ็นเซอร์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับระบบวัดน้ำและแสดงแผนที่อัตโนมัติ สามารถตรวจคุณภาพน้ำได้อย่างแม่นยำ พร้อมแสดงจุดที่ตรวจบนกูเกิลเอิร์ธได้ทันที  

 7. ระบบสแตนบายแบบไม่ใช้พลังงาน ทำให้ไม่สูญเสียพลังงานไฟฟ้า โดยฝังหรือควบรวมเข้าไปในอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี เครื่องเสียง และเครื่องปรับอากาศที่ใช้รีโมตในการเปิดปิดในระยะ 5 เมตร 

 8.กางเกงแก้วต้นทุน 100 บาท ซึ่งมีราคาถูก ใช้สะดวกบรรจุในห่อเล็กน้ำหนักเบาสามารถพกพาติดตัวได้ตลอดเวลา มีคุณสมบัติเหนียว บาง และเนื้อสัมผัสนิ่มคล้ายผ้า 

 9.การทดสอบระบบบำบัดน้ำเสีย "เอ็นค่า" ซึ่งดัดแปลงเครื่องสูบน้ำไดโว่ให้มีประสิทธิภาพในการเพิ่มฟองอากาศลงในน้ำ โดยสารจับตะกอนเอ็นเคลียร์ ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เศษไม้ ผงถ่าน ไม่มีสารเคมี สารพิษตกค้างหรือโลหะหนัก  ซึ่งทดลองในระดับหมู่บ้านได้สำเร็จทำให้น้ำใส หายเหม็น ออกซิเจนสูง และมีผลทำให้ลดปริมาณยุง และ 

10.ระบบคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สามารถช่วยให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นในเรื่องดังกล่าว และมีการพัฒนาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปเพื่อประเมินประมาณก๊าซเรือนกระจกของไทยรายแรกของประเทศและภูมิภาคอาเซียน ถือเป็นการเตรียมความพร้อมนำประเทศไทยสู่ระบบเศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ ซึ่งประเทศในสหภาพยุโรปกำลังให้ความสำคัญ

โดย: ทีมข่าวการศึกษา

31 ธันวาคม 2554, 15:12 น.

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับทางเลือกในการผ่าตัดทางนรีเวช

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับทางเลือกในการผ่าตัดทางนรีเวช

เมื่อกล่าวถึงโรคของสตรีที่พบบ่อยอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นโรคเกี่ยวกับมดลูกและรังไข่ หลายกรณีต้องลงเอยด้วยการผ่าตัด นายแพทย์สง่า พินิจพิชิตกุล สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงการผ่าตัดที่กระทำบ่อยมากในกลุ่มของการผ่าตัดทางนรีเวชว่า คือการผ่าตัดมดลูก โดยทั่วไปจะทำการผ่าตัดแบบเปิดแผลผ่านทางหน้าท้อง เป็นวิธีผ่าตัดที่ทำกันเป็นส่วนใหญ่เพราะทำได้ง่าย แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากแผลผ่าตัดเพราะต้องเปิดแผลผ่านทางหน้าท้อง และจะทำให้มีรอยแผลผ่าตัดเป็นแนวยาวที่หน้าท้อง

นายแพทย์สง่า กล่าวว่า นอกจากการผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องแล้ว ปัจจุบันยังนิยมผ่าตัดโดยนำเทคโนโลยีผ่าตัดแบบผ่านกล้องเข้ามาช่วย เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ลดภาวะแทรกซ้อน เจ็บน้อยลง และลดระยะเวลาพักฟื้นให้สั้นลง รวมถึงผลการผ่าตัดมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี ยังบอกอีกว่า การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช มี 2 ประเภท ดังนี้

Laparoscopy คือ การใช้กล้องส่องเข้าไปดูอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เพื่อวินิจฉัยและทำการผ่าตัด โดยมีแผลเล็กๆ 2-3 แผล ขนาด 0.5-1.0 เซนติเมตร

Hysteroscopy คือ การส่องกล้องในโพรงมดลูก โดยผ่านทางปากมดลูก เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติในโพรงมดลูก และสามารถทำการผ่าตัดโดยไม่ต้องเปิดแผลหน้าท้องและผนังมดลูก เพื่อเข้าไปตัดเนื้องอกในโพรงมดลูก


โรคที่เหมาะสมกับการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง ประเภท Laparoscopy

ถุงน้ำที่รังไข่ หรือซีสต์ที่รังไข่ (Ovarian cyst)

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis หรือ Chocolate Cyst)

พังผืดในอุ้งเชิงกราน หลอดมดลูกตีบตัน

ผู้มีบุตรยาก ใช้วิธีนี้เพื่อฉีดสีตรวจดูท่อนำไข่

ตั้งครรภ์นอกมดลูก

ปวดประจำเดือน หรือปวดท้องน้อยเรื้อรัง

เนื้องอกมดลูก โดยตัดเฉพาะเนื้องอก หรือตัดทั้งตัวมดลูก

การทำหมัน

โรคที่เหมาะสมกับการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง ประเภท Hysteroscopy

เลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก โดยไม่ทราบสาเหตุ

ติ่งเนื้อ (Polyp) เนื้องอกมดลูก พังผืดในโพรงมดลูก

เยื่อบุโพรงมดลูกหนา

ตรวจหาความผิดปกติแต่กำเนิดของมดลูก

ตรวจหาสาเหตุของการมีบุตรยาก หรือแท้งบ่อยๆ

การนำห่วงอนามัย หรือสิ่งแปลกปลอมในโพรงมดลูกออก

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดมดลูกในกรณีที่ไม่ใช่มะเร็ง มีหลายข้อ เช่น

1.เนื้องอกของกล้ามเนื้อมดลูก (Myoma uteri) คือเนื้อมดลูกที่เจริญเติบโตมากผิดปกติ จนแทรกเข้าไปในตัวมดลูกที่ปกติ ทำให้มดลูกทั้งอันโตขึ้นเป็นเนื้องอก หรือก้อนเนื้องอกนั้นโตเป็นก้อนแยกต่างหากจากตัวมดลูกที่ปกติ 

2.เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก (Adenomyosis)
3.เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial hyperplasia)
4.เซลล์ในเยื่อบุผิวปากมดลูกผิดปกติ (Cervical intraepithelial neoplasia) 
5.เลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก (Abnormal uterine bleeding) เป็นต้น


นายแพทย์สง่า กล่าวโดยสรุปว่า ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดมดลูก 5 วิธี ได้แก่

การผ่าตัดมดลูกผ่านผนังหน้าท้อง แบบแผลแนวตั้ง   ( Low Midline incision )

การผ่าตัดมดลูกผ่านผนังหน้าท้อง แบบแผลแนวนอน ( Bikini incision )

การผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง ( Total Laparoscopic Hysterectomy ) มีขนาดแผลประมาณ 0.5 – 1 เซนติเมตร หรือ 5 - 10 มิลลิเมตร จำนวน 3 – 4 รู

การผ่าตัดมดลูกผ่านกล้องแบบรูเดียวบริเวณสะดือ (Single Port Laparoscopic Hysterectomy) มีขนาดแผลประมาณ 2 เซนติเมตรที่บริเวณสะดือ

การผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอด (Vaginal hysterectomy) การผ่าตัดชนิดนี้เป็นเทคนิคใหม่ และมีข้อดีคือ เป็นการผ่าตัดเอามดลูกออกจากร่างกายโดยไม่มีแผลที่หน้าท้อง ให้ผลการรักษาที่ดี ทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสวยงาม ระยะพักฟื้น ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลสั้นลง

ทั้งนี้ การผ่าตัดเอามดลูกออกจะใช้วิธีใด ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้และข้อจำกัดของการผ่าตัดแต่ละวิธี รวมถึงดุลยพินิจและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ผ่าตัดแต่ละท่าน

 


ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลเวชธานี
www.vejthani.com

โดย: ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลเวชธานี

28 ธันวาคม 2554, 15:30 น.


อีกด้านหนึ่งของ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” ในมุมมองของราชสำนัก (1)

 

อีกด้านหนึ่งของ "ก.ศ.ร.กุหลาบ" ในมุมมองของราชสำนัก (1)

วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:14:40 น.

Share14

  ไกรฤกษ์ นานา     

นักวิชาการทางประวัติศาสตร์

 

ประวัติศาสตร์มีมุมมองได้ ๒ ด้านเสมอ ถ้ามีด้านบวกก็ต้องมีด้านลบ ถ้ามีผู้แพ้ก็ต้องมีผู้ชนะ และถ้ามีคนถูกก็ต้องมีคนผิด บางทีอาจมีมากกว่า ๒ ด้านด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ทั้งถูกและผิด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองประวัติศาสตร์จากแง่มุมไหน บางครั้งคนมักจะพูดว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเรามองประวัติศาสตร์จากมุมมองของผู้แพ้บ้าง ก็จะเห็นสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ก็ได้ ในกรณีของคนดังจากอดีต เช่นก.ศ.ร.กุหลาบ นั้นมีทั้งด้านบวกและลบให้พิจารณา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้น้ำหนักด้านไหนมากกว่ากัน

 

ผมมีโอกาสอ่านบทความจากปก (Cover Story) เกี่ยวกับเรื่องราวของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ในวารสารอ่าน ฉบับเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๔ อ่านจบเดียวไม่พอต้องอ่าน ๒ จบ จะได้เข้าใจความคิดเห็นของท่านผู้เขียนที่ตีแผ่ได้ละเอียดลออ แสดงถึงการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี ด้วยความเคารพในทัศนะต่างๆ ที่ท่านนำเสนอ

เมื่ออ่านจบก็รู้ถึงความศรัทธาของผู้เขียนที่เชื่อว่านายกุหลาบถูกปรักปรำให้ตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่เป็นธรรม ในยุคที่ประชาชนเดินดินไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการ

 

วิพากษ์วิจารณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งเขียนขึ้นโดยชนชั้นศักดินาเป็นส่วนใหญ่ งานเขียนของนายกุหลาบจึงมีแนวโน้มจะปฏิวัติแนวคิดของศักดินาโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ทัศนะของประชาชนระดับรากหญ้าด้วยกันจึงเห็นสมควรให้น้ำหนักความชอบธรรมต่อการกระทำของนายกุหลาบว่าไม่ควรได้รับโทษใดๆ(๑)

 

แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองด้านเดียวเท่านั้น ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง พฤติกรรมชอบกลของนายกุหลาบยังไม่ได้รับการชี้แจงว่าเขาได้ทำความผิดอะไรในสายตาของสังคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงถูกปรามาสว่ากระทำเกินกว่าเหตุจากคณะตุลาการที่ทางการตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาความผิดของเขาโดยเฉพาะประธานคณะตุลาการเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่คนในสังคมให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ท้ายที่สุดคำตัดสินก็ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรชั้นรากหญ้าทั่วทั้งแผ่นดินในเวลานั้น ซึ่งก็มิได้มีคนชั้นรากหญ้าคนใดทัดทานหรือตั้งข้อสังเกตว่าเขาถูกปรักปรำจนเกินไปในสมัยนั้น

 

อนึ่ง คดีของนายกุหลาบเป็นคดีที่โด่งดังมากในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ สมัยรัชกาลที่ ๕ โน่น เพราะบทความที่เขาเขียนขึ้นกระทบกระเทือนสถาบันเบื้องสูง เป็นเหตุให้รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้วและโปรดให้มีการไต่สวนเพื่อพิจารณาโทษ ซึ่งคดีนี้ก็หมดอายุความไปแล้วถึง ๑๑๑ ปี นับถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์มีคนในสมัยปัจจุบันที่คิดว่าเขาไม่สมควรได้รับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น และต้องการรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาอีก(๑)

 

ผมจึงเห็นความจำเป็นต้องนำข้อมูลการไต่สวนของทางการที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในบทความนั้นมาเปิดเผยอีกครั้งเพื่อให้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ถูกปิดบังไว้

 

         การที่คนสมัยปัจจุบันเขียนวิจารณ์ในทำนองให้ท้ายนายกุหลาบว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม อาจสร้างความสับสนให้เข้าใจผิดว่าเขาถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริง ดังนั้นควรที่เราจะกลับมาพินิจพิจารณาใหม่ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่อีกฝ่ายหนึ่งด้วย ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ เพราะคู่กรณีของนายกุหลาบไม่ได้อยู่ในสถานที่ปกป้องตนเองได้

 

ก่อนอื่น ประเด็นใหม่ที่นายกุหลาบถูกมองว่าเป็น "ไพร่" โดยแฟนพันธุ์แท้นั้นเป็นการหลงประเด็น การอุปโลกน์ว่า "นายกุหลาบเป็นไพร่ จึงผิดแหงๆ" นั้นเป็นการปรักปรำโดยปริยาย ในสมัยที่ไพร่ถูกมองว่าเป็นชนชั้น (ใหม่) ที่ควรได้รับการยอมรับอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๕๔ และถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองของชนชั้นรากหญ้าในปัจจุบัน ที่เรียกตัวเองว่าไพร่โดยไม่จำเป็นก็เพื่อให้เห็นว่านายกุหลาบอยู่คนละขั้วกับอำมาตย์ ทั้งที่สถานะนี้ถูกยกเลิกไปนานแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕(๑)

 

กุหลาบไม่ใช่ไพร่

แต่เป็นนักวิชาการนอกรีต

ทว่า ในความเป็นจริงแล้วนายกุหลาบไม่ใช่ไพร่ เขาเป็นลูกผู้ดี เป็นคนมีการศึกษา  พูดภาษาอังกฤษได้ และเป็นคนมีรากฐานมาจากครอบครัวอำมาตย์  จึงคบค้ากับชาวต่างชาติซึ่งเป็นชาวไฮโซในสังคมชั้นสูงของคนมีระดับในกรุงเทพฯ ดังเช่นที่ได้รับการยืนยันว่านายกุหลาบมีลูกค้า เช่น นายเยรินี และบรรดาฝรั่งในยุคนั้นที่ไหว้วานให้นายกุหลาบกว้านซื้อหนังสือเก่าเพื่อจัดหาส่งออกไปไว้ตามห้องสมุดในต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายของนายกุหลาบ ซึ่งมีทั้งพระ พราหมณ์ และข้าราชการทุกระดับชั้น(๑)

 

นายกุหลาบจึงมีภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากชนชั้นไพร่แบบลิบลับ เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวขุนนางชั้นอำมาตย์มาแต่ครั้งบรรพบุรุษ โดยต้นตระกูลของเขามีนามว่า พระทุกขราษฎร์ มีตำแหน่งเป็นกรมการเมืองนครราชสีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา พระทุกขราษฎร์มีลูกหลานต่อมาลงมาถึงนางตรุศ ซึ่งเป็นชั้นที่ ๕ นางตรุศได้แต่งงานกับนายเสง มีบุตรคนสุดท้องชื่อนายกุหลาบ

 

เมื่อท่านตรุศมารดาคลอดแล้วจึงได้พาทารกกุหลาบลงเรือชะล่ากลับไปยังบ้านของตน มีบ่าวไพร่พายเรือติดตามมาหลายลำ แต่ยังไม่ทันจะถึงบ้านก็มีนกแร้งตัวหนึ่งบินโผลงมาเกาะที่กราบเรือตรงที่วางเบาะทารกนั้น แร้งนั้นก้มหัวลงมาดมที่ทารกแล้วก็ผละบินออกไปจากเรือ ทั้งมารดาและญาติมิตรพากันตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกตามๆ กัน

 

เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้กันในหมู่ญาติใกล้ชิด โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ต่างพากันลงความเห็นว่าทารกนั้นเป็นบุตรอุบาทว์ ซึ่งบิดามารดาจะเลี้ยงดูไว้ไม่ได้ เว้นเสียแต่ท่านผู้มีบุญบารมีและมีบรรดาศักดิ์สูงเท่านั้นจึงจะเลี้ยงได้(๘)

 

และนี่คือต้นเหตุที่นายกุหลาบจะได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังเหตุเพราะเป็นบุตรอุบาทว์ คนธรรมดาจะเลี้ยงไว้ก็จะเป็นกาลกิณี จึงถูกส่งเข้าไปถวายตัวอยู่ในอุปการะของพระราชธิดาของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในเวลาต่อมา

 

พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๓ ที่ทรงรับเลี้ยงนายกุหลาบ มีพระนามว่าพระองค์เจ้ากินรี ประทานพระเมตตากรุณาแก่นายกุหลาบอย่างหาที่เปรียบมิได้ เริ่มตั้งแต่ทรงสั่งสอนให้อ่านเขียนจนนายกุหลาบมีอายุได้ ๑๑ ปี จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานนำไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กไล่กาในรัชกาลที่ ๓

 

นายกุหลาบได้รับการอบรมสั่งสอนเฉกเช่นลูกขุนนางทั่วไป ได้เรียนหนังสือบาลี สันสกฤต และขอม กับพระราชมุนี (เอี่ยม) แล้วจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ได้รับพระราชทานนามว่าสามเณรเกศะโร (ต่อมาใช้เป็นอักษรย่อนำหน้าชื่อว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ - ผู้เขียน)

 

ต่อมานายกุหลาบก็หันมาเอาดีทางโลกโดยสึกออกมาพักอาศัยที่ตำหนักหม่อมเจ้าหญิงน้อยหน่า บริเวณป้อมพระสุเมรุ บางลำพู แต่พระองค์เจ้ากินรีผู้ทรงชุบเลี้ยงนายกุหลาบดั่งบุตรบุญธรรมก็ยังประทานข้าวของและอุปการะนายกุหลาบมาโดยตลอด นายกุหลาบเคยทำบัญชีให้เห็นของมีค่าที่ได้รับประทานมามีเพชรพลอย ทอง นาค เงิน และของแปลกๆ เช่น หีบเสียงของฝรั่ง เป็นต้น

 

พระเมตตาของพระองค์เจ้ากินรีดำเนินต่อมา แม้เมื่อนายกุหลาบออกเรือนแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๔๐๒  เมื่อนายกุหลาบอายุ ๒๕ ปี ก็ประทานเงินซื้อบ้าน เรือกสวนไร่นา และจัดหาผู้ใหญ่ไปสู่ขอสตรีชื่อหุ่นมาเป็นภรรยา หุ่นเป็นลูกพระพี่เลี้ยงของพระองค์เจ้ากินรีเอง และยังดูเหมือนว่าเจ้านายฝ่ายในมีพระเมตตานายกุหลาบเหมือนลูกหลานแท้ๆ โดยเมื่อนายกุหลาบมีลูกสาวคนแรก พระองค์เจ้ากินรีก็โปรดส่งคนเฝ้าทารกถึง ๓ คนมาเลี้ยงดู ทรงเย็บมุ้งและเบาะประทาน ทรงทำบายศรีเอง และทรงทำขวัญทารกน้อยเป็นทองคำถึง ๕ ตำลึง(๘)

 

หลังสึกจากพระแล้ว นายกุหลาบก็เข้ารับราชการเป็นสมุห์บัญชีในพระองค์เจ้าหญิงกินรีระยะหนึ่ง จากนั้นจึงไปเป็นเสมียนอยู่กับโรงสีไฟของฝรั่งถึง ๕ แห่ง ในจำนวนนี้มีห้างฝรั่งที่เก่าแก่และดังที่สุดของรัตนโกสินทร์ ชื่อห้างมากัว (A. Markwald Co., Ltd) จนคนเรียกติดปากว่า "เสมียนกุหลาบ" การประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างฝรั่งนานถึง ๒๕ ปี ได้พลิกผันชีวิตของนายกุหลาบสู่โลกกว้าง เขามีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ เช่น อินเดีย จีน ญวน มลายู และชวา บางตำราว่าได้ไปถึงอังกฤษและทวีปยุโรป ส่งเสริมให้นายกุหลาบมีรสนิยมไปในทางฝรั่งตะวันตก เช่น นั่งโต๊ะยาวรับประทานอาหาร ชอบจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงตามแบบตะวันตก รวมไปถึงการชอบคบค้าสมาคมกับชาวตะวันตก(๒) และ(๘)

 

การที่นายกุหลาบคลุกคลีกับฝรั่งนานหลายทศวรรษ เขาจึงเข้าสังคมกับพวกฝรั่งได้ดีและสามารถพูดภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่ว แถมยังโชคดีได้ครูฝรั่งบาทหลวงคนเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ คือ บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ เขาจึงไม่ใช่ชาวบ้านชั้นธรรมดาอย่างแน่นอน แต่มีชีวิตอยู่ในแวดวงชนชั้นอำมาตย์มาตลอด(๗)

 

ดังนั้น หากมีผู้เข้าใจผิดโดยเขียนบรรยายว่าเมื่อนายกุหลาบหาญกล้าดัดแปลงประวัติศาสตร์ของโบราณ เป็นความผิดเพราะเขาเป็นไพร่ แต่กลับอวดรู้ในสิ่งที่เขาไม่สมควรจะรู้ อวดรู้ในเรื่องที่เป็นสมบัติของชนชั้นอำมาตย์ จึงถูกดูแคลนจากวงวิชาการอำมาตย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ และปี พ.ศ. ๒๔๔๙ จึงเป็นการหลงประเด็น "ประการแรก" และเป็นการประเมินภาพลักษณ์ของนายกุหลาบต่ำกว่าความจริง(๑)

 

ถ้าจะอธิบายคุณสมบัติส่วนตัวของนายกุหลาบ ก็พอจะอนุมานได้ว่าเขาเป็นนักวิชาการนอกรีต ที่อวดรู้ อวดเก่ง และเย่อหยิ่งในความรอบรู้ของตนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติของพระราชวงศ์ต่างๆ ในอดีตอย่างหาตัวจับยาก แต่มีความคิดฟุ้งซ่านที่จะขยายความตามเบาะแสที่ตนรู้มาอย่างไม่มีขอบเขตโดยใช้ชั้นเชิงทางวิชาชีพและช่องทางที่ตนมีอยู่ ได้แก่ หนังสือพิมพ์และใบปลิวโฆษณาต่างๆ ที่เอกชนทั่วไปไม่มีในยุคนั้น


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322464598&grpid=&catid=53&subcatid=5300

อีกด้านหนึ่งของ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” ในมุมมองของราชสำนัก (2)

อีกด้านหนึ่งของ "ก.ศ.ร.กุหลาบ" ในมุมมองของราชสำนัก (2)

วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 12:56:57 น.

Share41



















 ไกรฤกษ์ นานา 

นักวิชาการทางประวัติศาสตร์

 

 

กุหลาบทำอะไรไว้จึงกลายเป็นคนผิด

เมื่อตัดปัจจัยด้านชนชั้นออกไป คดีของนายกุหลาบก็เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวกับการสบประมาท การใส่ร้ายป้ายสีและการให้ข้อมูลเป็นเท็จกับเอกสารของทางการ ที่สำคัญคือการจาบจ้วงเบื้องสูง อีกทั้งลบหลู่สมเด็จพระสังฆราชด้วยวาจาและบทประพันธ์ ละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือของทางราชการ กระทำการโดยพลการโดยขาดการใคร่ครวญไตร่ตรอง  ให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อบุคคลและสถาบัน ผิดต่อศีลธรรมจรรยา และสามัญสำนึกของปัญญาชนที่น่านับถือในสังคมในฐานะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะคนหนึ่ง

 

ความเป็นผู้สันทัดกรณีและมีประสบการณ์ในแวดวงวิชาการ ทั้งยังเคยเข้านอกออกในกับราชสำนักฝ่ายหน้าฝ่ายในมานานส่งเสริมให้นายกุหลาบรู้จักมักคุ้นกับปัญญาชนชั้นอำมาตย์เป็นอย่างดี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงยืนยันเรื่องนี้ไว้ว่า

 

"สมัยนั้น (ดูเหมือนในปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙) เมื่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นอักษรสารโสภณ ทรงบัญชาการกรมอาลักษณ์ดูแลรักษาหนังสือหอหลวง หาที่เก็บหนังสือหอหลวงไม่ได้จึงให้ขนเอาไปรักษาที่วังของท่าน

 

พอปี พ.ศ. ๒๔๒๔ มีงานฉลองอายุพระนครครบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ดำรัสชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตลอดจนคหบดีที่มีใจจะช่วย ให้จัดของต่างๆ อันควรอวดควรรู้และความคิดมาตั้งให้คนดู กรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงรับอาสาแสดงหนังสือไทยฉบับเขียน เอาสมุดในหอหลวงที่มีมาแต่โบราณมาตั้งอวดห้องหนึ่ง นาย ก.ศ.ร. กุหลาบรับอาสาแสดงหนังสือไทยสมัยเมื่อแรกพิมพ์ห้องหนึ่งอยู่ติดกับห้องกรมหลวงบดินทร์ฯ ฉันเคยไปดูทั้ง ๒ ห้องและเริ่มรู้จักตัวนายกุหลาบเมื่อครั้งนั้น

 

นายกุหลาบมีโอกาสเข้าไปดูหนังสือหอหลวงมีเรื่องโบราณคดีต่างๆ ที่ตัวไม่เคยรู้อยู่เป็นอันมากก็ติดใจอยากได้สำเนาไปไว้เป็นของตนเอง จึงตั้งหน้าตั้งตาประจบประแจงกรมหลวงบดินทร์ฯ ตั้งแต่ที่ท้องสนามหลวงจนเลิกงานแล้ว ก็ยังตามไปเฝ้าแหนที่วังต่อมา จนกรมหลวงบดินทร์ฯ ทรงพระเมตตา นายกุหลาบทูลขอคัดสำเนาหนังสือหอหลวงบางเรื่อง แต่กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ประทานอนุญาต ตรัสว่าหนังสือหอหลวงเป็นของต้องห้ามมิให้ใครคัดลอก นายกุหลาบจนใจจึงคิดทำกลอุบายทูลขออนุญาตเพียงขอยืมไปอ่านแต่ครั้งละเล่ม และสัญญาว่าพออ่านแล้วจะรีบส่งคืนในวันรุ่งขึ้น กรมหลวงบดินทร์ฯ ไม่ทรงระแวงก็ประทานอนุญาต นายกุหลาบจึงไปว่าจ้างนายทหารมหาดเล็กที่รู้หนังสือเตรียมไว้สองสามคน  สมัยนั้นฉันเป็นผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็ก รู้จักตัวผู้ที่รับจ้างนายกุหลาบคนหนึ่งชื่อนายเมธ

 

ตามคำพวกทหารมหาดเล็กที่รับจ้างมาเล่าว่าเอาเสื่อผืนยาวปูที่ในพระระเบียง และเอาสมุดคลี่วางบนเสื่อตลอดเล่ม ให้

คนตัดแบ่งกันคัดคนละตอน คัดหน้าต้นแล้วพลิกเอาสมุดหน้าปลายขึ้นคัด พอเวลาบ่ายก็คัดสำเนาให้นายกุหลาบได้หมดทั้งเล่ม แต่พวกมหาดเล็กที่ไปรับจ้างคัดก็ไม่รู้ว่านายกุหลาบได้หนังสือมาจากไหน และจะคัดเอาไปทำไม เห็นแปลกที่ให้รีบคัดให้หมดเล่มภายในวันเดียว ได้ค่าจ้างแล้วก็แล้วกัน แต่ฉันได้ยินเล่าก็ไม่เอาใจใส่ ในสมัยนั้นนายกุหลาบลักคัดสำเนาหนังสือหอหลวงด้วยอุบายอย่างนี้มาช้านานเห็นจะกว่าปี แม้จนพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง ๔ รัชกาล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์แต่ง นายกุหลาบก็ลักคัดสำเนาเอาไปได้ แต่เมื่อนายกุหลาบได้สำเนาหนังสือหอหลวงไปแล้ว เกิดหวาดหวั่นด้วยรู้ตัวว่าลักคัดสำเนาหนังสือฉบับหลวงที่ต้องห้าม เกรงว่าถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการเห็นเข้าจะเกิดความ จึงคิดอุบายป้องกันภัยด้วยแก้ไขถ้อยคำสำนวน หรือเพิ่มความแทรกลงในสำเนาที่คัดไว้ให้แปลกจากต้นฉบับเดิม เมื่อเกิดความจะได้อ้างว่าเป็นหนังสือฉบับอื่นต่างๆ มิใช่ฉบับหลวง เพราะฉะนั้นหนังสือเรื่องต่างๆ ที่นายกุหลาบคัดไปจากหอหลวงเอาไปทำเป็นฉบับใหม่ขึ้น จึงมีความที่แทรกเข้าใหม่ระคนปนกับความตามต้นฉบับเดิมหมดทุกเรื่อง"(๕)

 

และนั่นก็คือตัวจุดชนวนให้เรื่องเกิดขึ้น คำบงการของนายกุหลาบบ่งชี้ว่าเป็นการต่อยอดทางธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของตนในภายภาคหน้า

 

การหลงประเด็น "ประการที่ ๒" เกิดจากการที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงเป็นพยานปากเอก และคำให้การของพระองค์มีประโยชน์ต่อรูปคดี ชี้หลักฐานที่สามารถมัดตัวนายกุหลาบได้ เพราะ ๑. ทรงรู้จักนายกุหลาบเป็นส่วนตัว และรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอของนายกุหลาบดีกว่าคนทั่วไป ๒. ทรงทราบเบื้องหลังการคัดลอกข้อมูลของนายกุหลาบจากต้นตอคือสมุดหอหลวง และ ๓. ทรงรู้จักกับมหาดเล็กที่ถูกจ้างวานโดยนายกุหลาบ ซึ่งต่อมาให้การซัดทอดจำเลย ความผิดของนายกุหลาบนั้นชัดแจ้งแดงแจ๋อยู่แล้ว จึงพอจะสรุปสำนวนในเบื้องต้นได้ว่าคดีนี้มีมูลความจริง ไม่ใช่เรื่องเดาส่งเดชหรือใส่ร้ายกันแบบโคมลอย(๕)

 

แต่พยานปากเอกกลับถูกมองว่ายัดเยียดข้อหาให้จำเลยมากเกินไป และพลอยถูกหางเลขไปด้วยว่าตั้งข้อหาให้นายกุหลาบอย่างมีอคติ โดยนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่บางคนปรักปรำว่าข้อมูลของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น และทรงเป็นผู้เดาเอาง่ายๆ แบบเท็จไม่มีมูลทีเดียว(๑)

 

การสบประสาท "พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"

 

ผู้ทรงเป็นครูใหญ่ของวงการประวัติศาสตร์แห่งชาติ และเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เรื่องนายกุหลาบ ย่อมฟังไม่ขึ้นและสวนทางกับสถานะอันน่าเชื่อถือของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ซึ่งแม้แต่องค์การสหประชาชาติ (คือยูเนสโก) ที่ไม่แยแสต่อคำสบประสาทสมาชิกคนใดก็ยังเชื่อมั่นในพระองค์ขนาดยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกจากประเทศไทย และทรงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับเกียรติอันสูงส่งนี้ พระจริยวัตรสำคัญอันเป็นหลักในการพิจารณาคัดเลือกสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็คือคุณูปการของพระองค์ต่อประวัติศาสตร์ไทย  จากการรวบรวม รักษา อนุรักษ์ และเผยแพร่เอกสารหนังสืออันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบรรพบุรุษไทย โดยการจัดตั้งหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร (ต่อมาคือหอสมุดแห่งชาติ) ย่อมเป็นเครื่องการันตีคุณสมบัติเพียงพออยู่แล้ว หักล้างคำครหาใดๆ ที่ไม่เป็นธรรม

 

การหลงประเด็น "ประการที่ ๓" เป็นการเข้าใจผิดเพราะความผิดของนายกุหลาบเป็นการเปรียบเทียบคดีความในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีสมัยรัชกาลที่ ๙ ไม่ได้ เนื่องจากกรอบการพิจารณาไม่เหมือนกัน ย่อมเปรียบเทียบกันไม่ได้ในเชิงทฤษฎี

 

การตั้งข้อสันนิษฐานโดยคนสมัยปัจจุบันว่า นายกุหลาบมีความชอบธรรมที่จะดัดแปลงข้อมูลทางประวัติศาสตร์โดยอ้างว่าเขาวิจารณ์แบบนักประวัติศาสตร์สมัยใหม่นั้นเป็นการหลงประเด็นอย่างสิ้นเชิง และเป็นการตั้งสมมุติฐานผิดตั้งแต่แรก ดังพอจะสรุปได้อีกครั้ง ดังนี้ 

 

ประการที่ ๑ นายกุหลาบไม่ใช่ไพร่ แต่ถูกประเมินว่าเป็นไพร่

ประการที่ ๒ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงทราบมูลความผิดของนายกุหลาบดี ไม่ใช่ทรงกล่าวหาลอยๆ

 

ประการที่ ๓ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจในการตัดสินอยู่ที่พระมหากษัตริย์ และไม่ใช่หน้าที่ของคนสมัยปัจจุบันจะโต้แย้งการตีความของคนในอดีต เพราะต่างกรรมต่างวาระกัน การเปรียบเทียบประวัติศาสตร์แบบไม่คำนึงถึงห้วงเวลานั้นเป็นการหลงยุคโดยปริยาย

 

นายกุหลาบกับพฤติกรรมลวงแบบซ้ำซ้อน

หนังสือหอหลวงที่นายกุหลาบคัดลอกไปจะกลายเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาอย่างดีให้เขาแก้ไขดัดแปลงแล้วผลิตซ้ำออกสู่สาธารณะด้วยความชะล่าใจ หากนายกุหลาบแอบทำในขอบเขตเล็กๆ ก็น่าจะหลบพ้นสายตาของปัญญาชนทั้งหลายไปได้ แต่เขากลับตีพิมพ์ออกงานใหญ่เป็นจำนวนหลายพันฉบับ ทั้งยังหาญกล้าทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้ข้อมูลที่แต่งเติมออกไปกระทบกระเทือนต้นฉบับ และเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทโดยมีคดีปลีกย่อยต่อไปนี้ 

ครั้งที่ ๑ เกิดในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ นายกุหลาบเอาหนังสือซึ่งคัดลอกจากหอหลวงไปดัดแปลงสำนวนเสร็จเป็นเรื่องแรก ส่งไปให้หมอสมิธที่บางคอแหลมพิมพ์โดยตั้งชื่อหนังสือว่า "คำให้การขุนหลวงหาวัด"  อันเป็นคำให้การของพระเจ้าอุทุมพรกับข้าราชการไทยที่พม่ากวาดต้อนไปคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พอหนังสือพิมพ์ออกจำหน่ายใครก็ต้องการอ่าน เพราะฉบับเดิมเก็บซ่อนอยู่ในหอหลวง แต่ไม่มีใครรู้ว่านายกุหลาบเอาข้อมูลมาจากไหน ผู้ชำนาญทางโบราณคดี รวมถึงรัชกาลที่ ๕ ทรงสังเกตว่ามีสำนวนใหม่ปนอยู่ด้วย จนจับได้ว่ามีคนแต่งเติมขึ้นใหม่

 

 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบริภาษการกระทำของนายกุหลาบว่า "ผู้ซึ่งทำลายของแท้ให้ปนด้วยของไม่แท้เช่นนั้น ก็เหมือนหนึ่งปล้นลักทรัพย์สมบัติของเราทั้งปวงซึ่งควรจะได้รับ แล้วเอาสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ลงเจือปนเสียจนขาดประโยชน์ไป  เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ไม่ควรเลยที่ผู้ใดซึ่งรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ลักหนังสือจะประพฤติเช่นนี้" (๕)

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นายกุหลาบก็จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ต้องห้ามขึ้นชื่อ "สยามประเภท" มีสร้อยว่า "สุนทโรวาทพิเศษ" โดยได้ชี้แจงแนวทางไว้ว่าจะเป็นสรรพตำราความรู้ความฉลาดทางคติธรรมและคติโลก เขียนบทความประเภทชี้แจงภูมิความรู้ ตีความ และตอบข้อข้องใจของผู้อ่าน ออกเป็นฉบับรายเดือน พิมพ์เรื่องที่เป็นโบราณคดีและเกร็ดประวัติศาสตร์ ซึ่งจริงบ้างไม่จริงบ้าง ทั้งยังมีเรื่องเกี่ยวกับการขอดค่อนสังคม และความคิดเห็นตามทัศนะของตนเอง(๗)

 

ครั้งที่ ๒ ครั้นปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๓ นายกุหลาบได้เขียนเรื่องกระทบกระเทือนข้อมูลภายในราชสำนักว่าด้วยอธิบายแบบแผนงานพระบรมศพครั้งกรุงศรีอยุธยา และงานพระเมรุของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ลงในหนังสือพิมพ์สยามประเภท ว่างานพระเมรุที่ทำในครั้งนั้นยังไม่ถูกต้องตามแบบแผนโบราณราชประเพณี โดยอ้างว่าตัวมีตำราเดิมที่เก่ากว่า รัชกาลที่ ๕ ทรงกริ้วแล้วมีรับสั่งให้เรียกตัวนายกุหลาบมาสอบถาม เขาก็สารภาพว่าเป็นการแต่งคิดขึ้นมาเองเพื่ออวดภูมิความรู้ และไม่มีตำราอย่างใดตามที่อ้างไว้ ครั้งนี้เป็นแต่คาดโทษนายกุหลาบไว้ และโปรดให้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาประจำปีนั้น แต่หาได้ลงโทษนายกุหลาบอย่างใด(๕)

 

ครั้งที่ ๓ เกิดในระยะเดียวกัน คือ ปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๓ (ถ้านับตามปฏิทินปัจจุบันจะเป็นต้นปี ๒๔๔๔ เพราะปฏิทินเก่าเดือนสุดท้ายของปีคือมีนาคม - ผู้เขียน)

 

ครั้งนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะนายกุหลาบปลอมแปลงพระประวัติของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามรูปแรก ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๕ มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ในพระองค์และเป็นพระอาจารย์ถวายข้อธรรมะให้ทรงศึกษาในระหว่างทรงผนวช เป็นผู้ที่ทรงเคารพนับถือตลอดมา แม้เมื่อทรงลาผนวชแล้ว ก็ยังเสด็จฯ ไปสรงน้ำสงกรานต์และประทับตรัสด้วยคราวละนานๆ

 

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) นับเป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้รับพระราชทานราชทินนามที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ อันเป็นราชทินนามสำคัญ สำหรับตำแหน่งพระสังฆราชตั้งแต่ขณะที่ยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช อันนับได้ว่าเป็นการพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงเป็นกรณีพิเศษ


ดังนั้น เมื่อนายกุหลาบแต่งเติมพระประวัติแบบเดาสุ่มด้วยข้อความเป็นเท็จ แถมยังหาญกล้านำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๕ เป็นจำนวนมากถึง ๒,๐๐๐ ฉบับ สำหรับเป็นหนังสือแจกในงานพระเมรุสมเด็จพระสังฆราช โดยโฆษณาว่าตนเองรู้พระประวัติดี จึงโปรดให้มีการไต่สวนและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างทันท่วงที อันเป็นการรักษาพระเกียรติยศของพระกรรมวาจาจารย์ผู้ที่ทรงนับถืออย่างสูง มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง (๒)


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1322546358&grpid=no&catid=&subcatid=