วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

10 เมษายน 2553

 

ประชาไทอายวิวส์: ภาพความทรงจำ 10เมษา 53/ไม่มีสันติวิธีให้กับคนเสื้อแดง

วันนี้เมื่อสองปีก่อน ผมนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากสำนักงานที่ห้วยขวางไปทางถนนศรีอยุธยา เนื่องจากได้ยินเสียงบอกเล่าว่ามีการเคลื่อนย้ายขบวนรถหุ้มเกราะออกมาบนท้องถนน ผมเข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนย้ายกำลังโดยปกติ เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของคนเสื้อแดงผมยังมองว่ามันยังอยู่ในกรอบในเกณฑ์ที่สาธารณะชนน่าจะยอมรับได้

ในใจผมอยากได้เพียงแค่ภาพรถหุ้มเกราะวิ่งอยู่บนถนนในกรุงเทพเท่านั้น

 

จุดเริ่มต้น01

 

เวลาเที่ยงเศษ ผมตามหาขบวนรถหุ้มเกราะเจออยู่บริเวณ คุรุสภา ผมพบว่าเป้าหมายของขบวนรถหุ้มเกราะอยู่ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงมาเป็นระยะเวลาเกือบเดือน มันไม่ได้เป็นเพียงแค่การเคลื่อนย้ายกำลังพลตามปกติดังที่ผมคิดในตอนแรก

 

เสื้อแดงขวางรถ2

 

ขบวนรถหุ้มเกราะ ไม่สามารถที่จะเคลื่อนตัวต่อไปได้เนื่องจากมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาขวางทางไว้ ไม่ใช่คนเรือนพันเรือนหมื่นแต่น่าจะเป็นคนหลักร้อยต้นๆ

 

เสื้อแดงขวางรถ1

 

พวกเขานั่งขวางทางไม่ให้รถหุ้มเกราะผ่านเข้าไปถึงบริเวณที่ชุมนุม บางคนเป็นฝ่ายเจรจาก็พยายามเจรจา บางคนแสดงบัตรประชาชนเพื่อแสดงว่าพวกเขาเป็นคนไทยเหมือนกับทหาร หญิงกลางคนคนหนึ่งพูดภาษาอีสานกับทหาร ชายคนหนึ่งก้มลงกราบบริเวณตีนตะขาบของรถหุ้มเกราะขอร้องให้เจ้าหน้าที่ทหารถอนกำลังกลับ

 

ทหารบนรถ

 

นายทหารชุดนี้ต่างจากนายทหารชุดก่อนๆที่คนเสื้อแดงเคยพบมาก พวกเขามีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมเจรจา ถ้ามีมือของคนเสื้อแดงจับไปที่รถหุ้มเกราะ เขาจะใช้คอมแบตกระทืบลงที่มือ

รถหุ้มเกราะเร่งเครื่องเป็นระยะและแสดงอาการว่าจะเคลื่อนเข้าทับร่างคนเสื้อแดงที่นั่งขวางอยู่ตลอดเวลา มีทั้งเสียงร้องไห้ เสียงขอร้องและเสียงด่าทอ แต่ไม่มีใครยอมลุกออกไป

ผมพยายามชูกล้องขึ้นพร้อมทั้งถ่ายภาพนิ่งและวีดีโอ ในตอนนั้นใจของผมไม่ได้ต้องการภาพอะไรอีกแล้ว ผมเพียงแค่ต้องการที่จะบอกทหารว่าการกระทำทุกอย่างของพวกเขาได้ถูกบันทึกไว้ทั้งหมดนะ ผมหวังว่าการแสดงตัวของผมจะมีส่วนอยู่บ้างในการตัดสินใจของบรรดาทหารหาญ

 

ยิงแก๊ซน้ำตา

 

เมื่อทหารไม่สามารถข่มขู่ให้คนเสื้อแดงยุติการนั่งขวางทางการเคลื่อนของรถหุ้มเกราะได้ พวกเขาจึงใช้แก็ซน้ำตา ปืนยิงกระสุนยาง โล่ห์และไม้พลองเข้าทำการสลายผู้ชุมนุม

ผมเห็นผู้ชุมนุมตอบโต้โดยใช้มือ ขวดน้ำพลาสติกและมีอยู่คนหนึ่งที่ใชด้ามธงเป็นอาวุธ

ฝูงชนถูกสลาย ชายผู้ถือไมค์โครโฟน ที่ประกาศว่าจะขับแท็กซี่เข้าชนรถหุ้มเกราะถูกทุบตีด้วยกระบองแล้วลากตัวเข้าไปด้านหลังแถวทหาร

 

ชาย2ขวางรถถัง

ชาย1

 

ท่ามกลางหมอกควันของแก๊ซน้ำตาผมพบว่ายังมีชายอยู่อีกสองคนไม่ยอมลุกหนีออกมา ไทยมุงขอให้ผมไปพาเขาออกมา ผมทำตามแต่เขาก็ไม่ยอมลุกออกมา สารวัตรทหารและคนเสื้อแดงเองก็พยายามเข้าไปชวนเขาออกมา ผมแสบตาและหายใจไม่ออกจึงต้องถอยออกมาสูดอากาศด้านนอก

 

สห

 

พอตั้งหลักได้หันกลับไปเขาหายไปแล้ว

 

ชายแก๊ซน้ำตา3

 

ผมพบเขาอีกครั้งนั่งอยู่ข้างกำแพงของคุรุสภา เขานั่งอยู่บนฟุตบาท มีคนยืนดูเขาอยู่สองสามคน เขายังมีสติอยู่ เขาพนมมือขึ้นไหวผม

 

ชายสูงอายุถูกกระสุนยาง

 

การประทะดังกล่าวได้ฝากรอยแผลไว้บนร่างกายของคนเสื้อแดงจำนวนมาก สำหรับแผลใจนั้นคงยากที่จะประเมิณ

ผมแยกจากเขามา เดินถ่ายภาพ ตามกองทหารต่อจนไปถึงโรงเรียนสตรีวิทย์

 

อนุเสาวรีย์

 

และที่นั้นก็ได้เป็นสถานที่ซึ่งเป็นจุดจบของรถหุ้มเกราะขบวนนั้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเมื่อสนธยามาเยือน

 

จุดจบรถหุ้มเกราะ

 

หมายเหตุ: ผมพยายามคุยกับนักสันติวิธีรุ่นใหม่บางท่านว่าคนเสื้อแดงมีความพยายามในการต่อสู้โดยใช้สันติวิธีอยู่โดยยกกรณีตัวอย่างจากเหตุการณ์นี้ แต่เพื่อนผู้สถาปนาตัวว่าเป็นนักสันติวิธีกลับยิ้มที่มุมปากพร้อมกลับกล่าวปรามาสว่าสันติวิธีของคนเสื้อแดงนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง แต่คนเสื้อแดงหาได้เข้าถึงแก่นแท้ของสันติวิธีไม่

ผมสงสัยว่าด้วยทัศนะคติดังข้างต้นหรือไม่ ที่ทำให้สาธารณะไม่หยิบยกเอาความพยายามในการใช้สันติวิธีของคนเสื้อแดงขึ้นมาพิจารณา ผมยังสงสัยต่อไปว่าในการต่อสู้ทางการเมืองนั้น การใช้สันติวิธีเป็นเครื่องมือนั้นมันยังไม่เพียงพออีกหรือ และทัศนะคติของตัวนักสันติวิธีเองด้วยหรือไม่ที่เป็นเครื่องมือในการให้ความชอบธรรมต่อรัฐในการใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดงเสียเอง

http://www.prachatai3.info/eyesview/2012/04/40036

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น