เตือนรัฐฯ ตั้ง "เมดิคัลฮับ" ในมหาวิทยาลัยแพทย์ ได้ไม่คุ้มเสีย
จดหมายเปิดผนึก
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการจัดตั้งศูนย์บริการทางการแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางระดับสูง หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) ในส่วนกลางและภูมิภาค ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มตินโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554
เรียน นายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)
สำเนา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์)
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อข้อเสนอแผนงานโครงการในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน (จำแนกประเภท) ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดย"สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพและศูนย์บริการสาธารณสุข (Medical Hub) ให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสาธารณสุขในภูมิภาค ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปจัดทำภาพรวมทั้งระบบที่มีการบูรณาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่และได้รับการสนับสนุนจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไปบางส่วนแล้ว พร้อมทั้งระบุความเชี่ยวชาญเฉพาะ (Areas of Excellence) ความพร้อมด้านบุคลากร การสร้างเครือข่ายทางวิชาการทั้งในและต่างประเทศ และแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความต่อเนื่อง" และกำลังจะพิจารณาข้อเสนออย่างเดียวกันกับมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์หลายแห่งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งต่อไป
การกำหนดนโยบายดังกล่าวของคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ได้สร้างความกังวลต่อเครือข่ายภาคีภาคประชาชนที่ร่วมในกระบวนการพัฒนาระบบสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง
· ขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของโครงการ แต่รัฐบาลควรตระหนักว่าการดำเนินนโยบายการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (medical hub) ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านลบที่จะเกิดกับประชาชนไทย โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่
· มติคณะรัฐมนตรีนี้อาจขัดแย้งต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ที่เห็นชอบกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องนโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ซึ่งมีมติสำคัญคือ "ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ระยะที่ ๒ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการเฉพาะกิจของนายกรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านการรักษาพยาบาล ดำเนินนโยบายหรือยุทธศาสตร์การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่ไม่กระทบต่อบริการสุขภาพสำหรับประชาชนไทย และต้องพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดและพัฒนานโยบายดังกล่าว ทั้งนโยบายระดับชาติและแผนปฏิบัติการเพื่อลดผลกระทบในทางลบต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับคนไทย"
· สมัชชาสุขภาพได้ตระหนักถึงปัญหาทรัพยากรด้านสุขภาพของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด และปัจจุบันบุคลากรสาธารณสุขโดยเฉพาะแพทย์และพยาบาล มีความขาดแคลนในภาพรวม และการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ที่ไม่เหมาะสม การผลิตแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขเกือบทั้งหมดอยู่ในภาครัฐ ซึ่งใช้งบประมาณจากเงินภาษีของแผ่นดิน บุคลากรแพทย์และสาธารณสุขจึงมีพันธกิจหลักในการให้บริการสุขภาพเพื่อประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ และนโยบายนี้และระบบที่เป็นอยู่ ทำให้เกิดการดึงแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์ไปสู่ภาคเอกชน ซึ่งมีผลกระทบต่อการรักษาพยาบาลการเรียนการสอน และภาระงานในภาครัฐ และด้วยข้อจำกัดของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข นโยบายนี้อาจกระทบต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและอาจมีผลให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นของประชาชนไทย
· ประเทศไทยยังประสบปัญหาการขาดแคลน และการกระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งปัญหาการกระจายตัวที่ไม่เหมาะสม รายงานการสำรวจทรัพยากรสาธารณสุข ปี ๒๕๕๑ พบว่าแพทย์ส่วนใหญ่มีการกระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล หรือในเมืองใหญ่โดยเฉพาะจังหวัดที่มีโรงเรียนแพทย์ แต่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและจังหวัดเขตชายแดนภาคใต้มีแพทย์อยู่อย่างเบาบาง ขณะนี้อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ๑:๒,๐๐๐ และอัตราส่วนแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขต่อประชากรอยู่ที่ ๑: ๕,๗๕๐ คน ในขณะนี้มีเป้าหมายเพิ่มอัตราส่วนเฉลี่ยให้อยู่ที่ ๑:๑,๘๐๐
· โครงการจัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพและศูนย์บริการสาธารณสุข ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ หากเน้นเฉพาะผลทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ดังเช่น จากงานศึกษาของ รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง และ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการขององค์การอนามัยโลกระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีรายได้มากขึ้น แต่ผลกระทบจากเมดิคัลฮับทำให้เกิดการขาดแคลนแพทย์ และทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น โดยมีข้อเสนอให้เก็บภาษีจากผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาเพื่อไปสนับสนุนการผลิตแพทย์ และรักษาอาจารย์แพทย์ไว้ในระบบ ซึ่งคณะรัฐมนตรีควรพิจารณาถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายนี้ด้วย "หากไม่มีการจัดการที่ดี การผลักดันอุตสาหกรรมการรักษาพยาบาลเพื่อคนไข้ต่างชาติ (Medical Tourism) จะเป็นภาระหนักอึ้งของระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ"
ในฐานะที่นายกรัฐมนตรี(นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ดำรงตำแหน่งประธานทั้งในคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหัวหน้ารัฐบาล พึงดำเนินนโยบายใดๆที่ไม่กระทบและไม่สร้างปัญหาต่อระบบสาธารณสุขของไทย ดังนั้น พวกเรา เครือข่ายภาคีภาคประชาชนที่ร่วมในกระบวนการพัฒนาระบบสุขภาพมาโดยตลอด จึงขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ และพิจารณาเรื่องทำนองเดียวกันนี้ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเพื่อลดผลกระทบที่จากส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และให้รัฐบาลดำเนินนโยบายมุ่งมั่นเพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบบริการสุขภาพของสังคมไทยโดยไม่ยกผลประโยชน์ทางด้านการค้าขึ้นเหนือกว่าชีวิตผู้คน
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย เครือข่ายเพื่อนมะเร็ง เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายผู้บริโภค 42 จังหวัดทั่วประเทศ เครือข่ายสุขภาพวิถีไท ชมรมเพื่อนโรคไต สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิเภสัชชนบท มูลนิธิหมอชาวบ้าน มูลนิธิชีววิถี มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา กลุ่มศึกษาปัญหายา กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น