วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๒.๓๐-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ งามวงศ์วาน ๒๓ ถนนงามวงศ์วาน อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

 
POSTER_2012_V2.jpg
การจัดประชุมทางวิชาการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง "เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกับพระพุทธศาสนา" ICT for All Symposium 2012 on "ICT and Buddhism" วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๒.๓๐-๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ เลขที่ ๒๐/๒๙ ซอยงามวงศ์วาน ๒๓ ถนนงามวงศ์วาน อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

ATE team rescue another baby elephant from a well




ลูกช้างวิ่งหาแม่ หลังรอดบ่อโคลน (มีคลิป)

Prev
1 of 1
Next
 22 ต.ค. 2555 เวลา 11:55:23 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คลิปสุดประทับใจของลูกช้างตัวหนึ่งที่ได้โผวิ่งเข้าหาแม่ของมันทันที หลังเจ้าหน้าที่ได้พากันช่วยเหลือขึ้นมาจากบ่อโคลนลึกกว่า 5 ฟุตได้สำเร็จ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่อุทยานแห่งหนึ่งในประเทศเคนยา เจ้าหน้าที่เผยว่า ก่อนที่จะได้เข้าช่วยเหลือ แม่ของมันได้พยายามช่วยเหลือแต่ก็ไม่สำเร็จ

เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันให้แม่ของมันออกห่าง จากนั้นจึงช่วยกันนำเชือกและช่วยเหลือดึงขึ้นมา หลังผ่านช่วงนาทีชีวิต ลูกช้างตัวดังกล่าวก็วิ่งหาแม่ของมันทันที แม้จะอยู่ห่างมากก็ตาม ท่ามความปิติ และประทับใจของเจ้าหน้าที่ที่ได้เข้าช่วยเหลือ

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เพลง ทวนกระแส (พระไพศาล วิสาโล) MV pics.





เพลงที่แต่งขึ้นให้แก่คณะธรรมยาตรา : ทวนกระแส
ผู้แต่ง รุ่งอรุณ สายันห์

หากเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง
อาจเปลี่ยวร้างระคนทุกข์สุขเคล้าไป
เวียนว่ายสับสน ปะปนหัวเราะร้องไห้
สติย่างเดินไป สู่หนใดกัน

กระแสโลกแข่งขัน ใฝ่ฝันเงินตรา
อำนาจมายาเข้ามาครอบงำ
คนตกเป็นเหยื่อ ไม่เหลือแบ่งบัน
อยู่ไปวันวัน ความฝันยับเยิน

ทวนกระแสธาร ต้านกระแสใจ
ใช้ความเพียรไว้ น้อมนำใจสู่ธรรม
มุ่งมั่นในจิต พินิจลึกล้ำ
ใช้ปัญญาอันขาวผ่องส่องทางไ

ปลดปล่อยชีวิต สร้างจิตวิญญาณ
ความดีขับขาน สืบสานออกไป
คุณค่าสรรพสิ่ง ความจริงในใจ
ไม่เหลืออะไร ทิ้งไว้ความดี

ทวนกระแสธาร ต้านกระแสใจ
ใช้ความเพียรไว้ น้อมนำใจสู่ธรรม
มุ่งมั่นในจิต พินิจลึกล้ำ
ใช้ปัญญาอันขาวผ่องส่องทางไ

ธรรมยาตรา เมตตาสรรพสิ่ง
เราอย่าหยุดนิ่ง ก้าวรุกคืบไป
ท้าทายบางสิ่ง ท้วงติงในใจ
เพื่อเปลี่ยนโลกใหม่เป็นไทยร่วมกัน

ทวนกระแสธาร ต้านกระแสใจ
ใช้ความเพียรไว้ น้อมนำใจสู่ธรรม
มุ่งมั่นในจิต พินิจลึกล้ำ
ใช้ปัญญาอันขาวผ่องส่องทางไ

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝูง"แมงกะพรุน"หลากสี ลอยเต็มทะเล มหัศจรรย์ไทยแลนด์ ! จ.ตราด

แชร์ว่อนเน็ต! ฝูง"แมงกะพรุน"หลากสี ลอยเต็มทะเล มหัศจรรย์ไทยแลนด์ ! จ.ตราด

วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:17:21 น.


ภาพจากเฟซบุ๊ก Buksohn 



ภาพจากเฟซบุ๊ก Buksohn 



ภาพจากเฟซบุ๊ก Buksohn 



ภาพจากเฟซบุ๊ก Buksohn 



ภาพจากเฟซบุ๊ก Buksohn 





ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์  รายงานว่า ขณะนี้ ในโลกโซเชี่ยลมีเดีย กำลังแชร์รูปภาพ  ฝูงแมงกะพรุน จำนวนมาก หลากสีสัน  ทอดเรียงตัวไปยาวไปสู่กลางทะเลราชการุณย์ จังหวัดตราด ซึ่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อว่า Buksohn เป็นผู้ถ่ายไว้ได้ หลังจากเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดตราดกับกลุ่มเพื่อน   โดยมีการเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมานี่เอง

 

 


ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปในเฟซบุ๊กของ Buksohn ก็ปรากฎว่า มีการเผยแพร่ภาพฝูงแมงกะพรุนฝูงดังกล่าวนี้ จำนวนหลายภาพ   โดยเจ้าของเฟซบุ๊กได้ระบุข้อความว่า ขณะนี้ภาพฝูงแมงกะพรุนที่ตัวเองถ่ายไว้  ได้ถูกเผยแพร่เป็นอย่างมากในโลกอินเตอร์เน็ต และได้รับการติดต่อมาจากบรรดานักดำน้ำ   ช่างภาพ รวมถึงผู้สื่อข่าวจำนวนมาก  โดยข้อความส่วนหนึ่ง ที่เจ้าของเฟซบุ๊กระบุไว้ก็คือ


"...ช่างภาพหลายคนก็อยากจะมาเก็บภาพด้วยตัวเอง เพราะว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนใหญ่เคยเห็นแต่แบบใสๆครับเรียกได้ว่า ภาพที่ผมถ่ายกลายเป็นภาพที่ UNSEEN สำหรับหลายคนเลยครับ บางคนนึกว่าเป็นภาพจากต่างประเทศ เพราะเค้าไม่เคยเห็นแบบนี้ในไทย ลองถ่ายแบบใกล้ๆดูครับ ดงยาวเป็นกิโลเลยมั้งครับ แค่เท่าที่เห็นก็ยาวไม่ต่ำกว่าห้าร้อยเมตรแล้วครับ มีหลากหลายสีสันมากครับ เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็นสีน้ำเงินเหมือนกันครับ จำนวนเยอะมาก ทั้งสวยทั้งเสียวครับ งานนี้ ทีนี้มาลองถ่ายแบบ อาร์ตๆบ้างครับ แฮะๆสีม่วงก็มีให้เห็นครับ แต่มีน้อยกว่าสีน้ำเงิน (สีขาวเยอะสุด) สถานที่ก็คือ แถวทะเลที่ราชการุณย์ จังหวัดตราดนะครับ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ผมประทับใจมากๆ เพราะว่ามีทั้งทะเลที่สวยมาก น้ำใสเวอร์ หาดขาวเวอร์ และธรรมชาติก็อุดมสมบูรณ์มากครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ..."

 

 

คลิกอ่านรายละเอียด มหัศจรรย์เมืองไทย ฝูงแมงกะพรุน!!

 


ต่อมา เมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าของเฟซบุ๊ก  Buksohn  ได้โพสต์ข้อความเพิ่มเติม เกี่ยวกับข้อมูลฝูงแมงกะพรุนฝูงนี้ว่า หลังจากมีโอกาวถามชาวประมง พร้อมกับคนในพื้นที่ก็ ได้รับการเปิดเผยว่า  ฝูงแมงกะพรุน เหล่านี้ คือแมงกะพรุนถ้วย  ซึ่งจะมีหลากสีสัน และพวกมันจะมารวมตัวกันเป็นฝูงทอดตัวเรียงยาวเต็มทะเลอย่างนี้ ทุกปี   ในช่วงปลายฝนต้นหนาว  ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน  ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับคนในพื้นที่   อย่างไรก็ตาม  แมงกะพรุนถ้วยหลากสีสันนี้    พิษของมันอยู่ที่ความเข้มสี และสามารถมันรับประทานได้โดยการเอามาดอง 

 

 

 


ทั้งนี้  มติชนออนไลน์ขออนุญาต เพจ  Buksohn  นำรูปภาพ ฝูงแมงกะพรุนถ้วย หลากสีสันนี้ ที่ถ่ายไว้ได้ที่ ทะเลราชการุณย์ จังหวัดตราด มาเผยแพร่ต่อ เพื่อให้ผู้อ่านได้ชื่นชมในความมหัศจรรย์ของท้องทะเลไทย และขอขอบคุณ ผู้ใช้เฟซบุ๊กBuksohn   ที่เป็นผู้ถ่ายรูปเหล่านี้ไว้ให้คนไทยได้เห็น และสอบถามข้อมูลความรู้ให้อีกหลายคนที่ยังไม่รับทราบได้รู้กัน

 

 

 

 

 

ขอขอบคุณภาพถ่ายและข้อมูลทั้งหมดจากเฟซบุ๊ก  Buksohn


วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชวนอิ่มบุญ "10 ร้านอาหารเจ" แนะนำ กับสารพัดเมนูที่คน "ไม่กินเจ" ยังต้องแวะ

ชวนอิ่มบุญ "10 ร้านอาหารเจ" แนะนำ กับสารพัดเมนูที่คน "ไม่กินเจ" ยังต้องแวะ

วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.




 

เทศกาลกินเจของปีนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ใครที่กินเจคงหาร้านอาหารเจกินกันง่ายขึ้น เพราะคนหันมากินเจกันเยอะขึ้น เราจึงสามารถหาร้านอาหารเจได้ทั่วไปตามท้องถนน แม้กระทั่งตามฟู้ดคอร์ทในห้างสรรพสินค้า แต่ถ้าอยากจะได้ร้านที่พิเศษขึ้นมาอีกหน่อยแบบบรรยากาศดีๆ เมนูไม่น่าเบื่อ ทั้งแบบที่เป็นเจแท้ๆ ที่ปฏิบัติตามกฎของการกินเจอย่างเคร่งครัด หรือคนที่กึ่งๆ เจ คือออกแนวมังสวิรัติ และไม่เคร่งกับกฎห้ามกินผักและเครื่ิองเทศกลิ่นฉุน ลองแวะเวียนไปหาอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้การกินเจสนุกขึ้น

 

ร้านแรก ขอแนะนำ ร้าน ติ่น ไท่ ฟง

 

        เป็นอาหารจีน ในเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นร้านอาหารจีนขึ้นห้าง ความอร่อยระดับมิชลิน สตาร์ ก็ขออินเทรนด์ด้วยการรังสรรค์เมนูอาหารเจออกมาเอาใจคนกินเจ ซึ่งยังอยากกินอาหารเจที่ยังมีหน้าตาเหมือนอาหารปกติอยู่ 

ด้วยเมนู "ไก่เจผัดพริกแห้งกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์" กินกับข้าวแล้วก็อร่อยเพลินดี"มะระผัดเนื้อหมูเจซอสพริกไทยดำ" เมนูนี้เหมาะกับคนชอบกินผักที่มีประโยชน์ ส่วนคนรักเห็ด ต้องลองเมนู "เห็ดออรินจิอบหม้อดิน" ที่ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองสไตล์ไต้หวัน เมนูเจของ ติ่น ไท่ ฟง จะมีให้กินกันจนถึงวันที่ 25 ต.ค. ซึ่งคนไม่กินเจ ก็สามารถไปกินกันได้

ร้าน Spa Foods กระท่อมมังสวิรัติ


        ถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพร้านหนึ่ง ย่านวิภาวดีรังสิต 16/21 ทั้งนี้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการกินเจ เพราะคิดว่ามีแต่เเป้ง หรือผักมันๆ เลี่ยนๆ ขอให้เปลี่ยนมาลองการกินเจแบบฟิวชั่น กับเมนูไร้เนื้อสัตว์ที่ประยุกต์ให้ออกมาเหมือนเมนูที่มีเนื้อสัตว์

 

ทั้งเมนูแซ่บๆ สไตล์อาหารอีสาน อย่าง น้ำตกเนื้อนุ่ม, ไก่ย่างเครื่องเทศ, ไก่นึ่งน้ำพริก หรือเมนูกินเล่นอย่าง "สะเต๊ะ" เมนูเส้นๆ อย่าง ข้าวซอยอกไก่ หรือก๋วยเตี่ยวเรือก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายเมนูที่แค่ฟังชื่อก้นน้ำลายไหลแล้ว ชีวิตของคนกินเจ กินมังจะได้ไม่ซ้ำซากกับอาหารแบบเดิมๆ


ร้าน บ้านสวนไผ่สุขภาพ

 

        เป็นร้านอาหารไทย ตั้งอยู่ซอยอารีย์ 1 พหลโยธินสามเสนใน เป็นร้านอาหารมังสวิรัติที่อร่อยจัดจนทำให้คนที่เป็น Meat Lover สยบยอม เพราะปรุงรสชาติมาดี และสร้างสรรค์เมนูต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ

 

เช่น ลูกชิ้นเห็ดหอม เป็นลูกชิ้นลูกกลมๆ ดูเผินๆ เหมือนลูกชิ้นหมูไม่มีผิด ราดน้ำจิ้มข้นๆ หรือเมนูน่าสนใจอย่าง ข้าวกล้องราดปลาฉู่ฉี่ หอมกลิ่นเครื่องแกง หรือข้าวปั้นหน้าผักต่างๆ ก็น่าสน ซึ่งเหมาะกับคนที่รักจะกิจมังสวิรัติแบบยาวๆ
 
ร้าน Thamna Hometaurant


 

        ร้านอาหารมังสวิรัติ อยู่ที่ 175 ถ.สามเสนวัดสามพระยา เป็นร้านอาหารมังสวิรัติที่ครีเอตเมนูจากสารพัดผักและผลไม้ ให้กลายมาเป็นเมนูง่ายๆ ทั้งไทย และนานาชาติ กินได้ไม่เบื่อและไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามันมีแต่ผัก เมนูแนะนำ เช่น พาสต้ากระเทียม

 

เอาเส้นสปาเก็ตตี้มาผัดกับพริกแห้งกับกระเทียมกลีบใหญ่ แล้วก็ใส่ใบโหระพากับเห็ดออรินจิลงไป ความหอมหวานของกระเทียมที่ถูกกระทะร้อนๆ บวกกับเส้นสปาเก็ตตี้ที่ลวกมากำลังดี ทำให้อาหารจานนี้อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ หรือกับเมนูสุดครีเอต อย่าง"บอลเห็ดฟาง" ที่เอาเห็ดฟางไปบดแล้วผสมกับมันฝรั่ง ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วเอาไปทอดจนเหลืองกรอบ ราดซอสมัสตาร์ดรสเข้ม กินคู่กับสลัดผักออร์แกนิค ก็เป็นเมนูที่สุดยอดอีกร้านหนึ่ง และเหมาะกับคนที่ไม่เคร่งกับการกินเจมากนัก
 
ร้าน Palm Cuisine
 

 ร้านอาหารสไตล์ "โฮมเมด" ตั้งอยู่ในทองหล่อ 16 เขตวัฒนา กับเมนูเจที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสดตรงจากต่างประเทศ เพื่อการปรุงอย่างพิถีพิถัน ทั้งไทย อีสาน และจีน เช่น แกงส้มกุ้งผักรวมเจ เทมปุระเห็ดรวมยำมะม่วงเจ ส้มตำผลไม้หมู ลาบเป็ดเจ หมูผัดพริกขิงเจ ส้มตำผลไม้หมูย่างเจ หมูแดดเยาวราชเจ ผัดหมี่เยาวราชเจ

 


ร้าน คุณเชิญ มังสวิรัติ เอกมัย
 

        ตั้งอยู่ชั้น G อาคารแบงคอค เมดิเพล็กซ์ ถ.สุขุมวิท 42 ถ้าพูดถึงร้านอาหารมังสวิรัติแล้ว คงไม่พูดถึงร้านนี้ เพราะร้านคุณเชิญ เป็นร้านอาหารมังสวิรัติที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานพอสมควร และมีสาขาที่อยู่เชียงใหม่ด้วย

 

จุดเด่นของร้านคุณเชิญคือ มีเมนูอาหารให้เลือกกว่า 100 เมนู กินกันไม่ซ้ำ แถมแต่ละเมนูก็สร้างสรรค์สุดๆ ราวกับงานศิลปะ เช่น เต้าหู้แพนเซีย ที่ใช้เนื้อเต้าหู้เนียนๆ คลุกกับงาขาว แล้วเอาไปจี่บนกระทะร้อนๆ กินคู่กับซอสวาซาบิ กระเทียม หรือจะเมนูเนื้อสัตว์ประดิษฐ์อย่าง หอยทอด, กระเพาะปลาผัดแห้ง, น้ำตกเห็ด และอีกสารพัดเมนู
 
ร้าน กวนอิม เจ
 

         ร้านอาหารเจเก่าแก่อายุกว่า 15 ปีแล้ว ตั้งอยู่ในสุขุมวิท 24/1 ร้านนี้มีดีตรงที่วัตถุดิบ บางอย่างนำเข้ามาจากไต้หวัน และเน้นการใช้ฟองเต้าหู้สดมากกว่าการใช้แป้งเหมือนที่หลายคนกลัวว่ากินแล้วจะอ้วน


เช่น การเอาฟองเต้าหู้มาทำเป็น "ลาบเป็ด" ปรุงรสด้วยเครื่องลาบแบบจัดเต็ม หรือเมนูที่ชื่อฟังดูหรูหราอย่าง "คะน้าห่าน" ที่นำฟองเต้าหู้มารมควันแต่งกลิ่นให้เหมือนหนังห่าน แล้วใช้เห็ดหอมกับแครอทปรุงรสสอดไส้ไว้ด้านในแทนเนื้อห่าน ราดน้ำซอสเค็มๆ หวานๆ 
 
ร้านอาหารเจ ส. หน้าวัง
 

         ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณศาลาว่าการกรุงเทพเสาชิงช้า ซึ่งย่านนี้เต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ และยังมีร้านที่ปักธงขายอาหารเจกันตลอดทั้งปี เพราะว่ามีคนที่กินเจตลอดชีวิตหรือกินเจระยะยาว ส่วนเมนูที่ร้านนี้จะเป็นเมนูง่ายๆ แต่อร่อยไม่แพ้ร้านอาหารเจใดๆ

 

ทั้งเมนู หมี่เจผัดโซบะที่ใส่ผักมาให้หลากหลายชนิด หอมกลิ่นซอสที่โดนความร้อนของกระทะแล้วฝังตัวอยู่ในเส้นหมี่เจ ฉะนั้น เมนูนี้จึงไม่ใช่หมี่ผัดที่จืดชืดและน่าเบื่อแต่อย่างใด หรือแม้กระทั่ง เย็นตาโฟ รสชาติเข้มข้นถึงใจ

 

ร้าน ฉางโซ่ว
 

        เป็นอีกหนึ่งร้านที่ขายอาหารเจตลอดทั้งปี ตั้งอยู่ที่ถนนท่าข้าม เขตบางขุนเทียน มีอาหารเจสไตล์ไทย จีน ไต้หวันให้เลือก ใช้แป้งเป็นส่วนผสมน้อยมาก เพราะร้านนี้เน้นที่หัวบุก โปรตีนจากถั่ว และผัก คนกินเจจะได้สุขภาพดี

 

เมนูเด็ดที่ต้องลองคือ กุ้งผัดผงกะหรี่, ปลาสาหร่ายน้ำแดง ปลาเจห่อตัวอยู่ในสาหร่ายแล้วเอาไปทอดจนกรอบ ราดน้ำแดงหอมหวนชวนกิน หรือเกี๊ยวซ่าเจชิ้นโต ซึ่งการันตีในเรื่องความอร่อย
 
ร้าน สุธัญทิพย์
 

        ตั้งอยู่ที่ถ.เจริญนคร 36 เป็นร้านอาหารเจและอาหารมังสวิรัติราคามิตรภาพ โดยการประยุกต์ใช้เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เห็ดต่างๆ และผัก ให้กลายเป็นเมนูต่างๆ

 

ร้านนี้อาจจะทำให้สับสนได้ว่า อาหารจานนี้เป็นเมนูเนื้อสัตว์ปกติรึเปล่า เช่น ขนมจีบลูกโต เส้นหมี่ผัดผักกระเฉด ผัดหมี่ฮ่องกงหมูแดง แกงเขียวหวาน และสารพัดยำรสแซ่บ

 

 

 

(ที่มา: wongnai)

 

 



 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1350469187&grpid=&catid=19&subcatid=1904

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เดินหน้าขยายสิทธิ ม.41 พ.ร.บ.สุขภาพ

เดินหน้าขยายสิทธิ ม.41 พ.ร.บ.สุขภาพ

ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีการขยายสิทธิการชดเชยกรณีเกิดความเสียหายทางการแพทย์โดยไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิดทั้ง 3 กองทุน หลังจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เดินหน้าขยายสิทธิตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ไปแล้วนั้น ว่า การพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็นหน้าที่ของคณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมและการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าว่าจะตัดสินให้มีการขยายสิทธิประโยชน์ให้เท่าเทียมกันทั้ง 3 กองทุนหรือไม่ แพทยสภาในฐานะผู้ที่ผลักดันให้เกิดการขยายสิทธิ เห็นว่าการแก้กฎหมายดังกล่าว ทำได้ 2 วิธี คือ 

1. เสนอแก้กฎหมายผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 20 คน เป็นผู้เสนอแก้กฎหมาย และ 

2. ล่ารายชื่อประชาชน 10,000 รายชื่อ เพื่อให้เกิดการแก้ไขกฎหมายต่อไป 

หากเรื่องยังไม่มีความคืบหน้า ก็จะนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาอีกครั้ง

ด้านนางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวว่า การขยายสิทธิการจ่ายเงินชดเชยฯ ครอบคลุม 3 กองทุน ยังไม่ครอบคลุมครบประชาชนทั้งหมด  ดังนั้น จึงไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว หากจะมีการล่ารายชื่อ ส.ส.นั้น ส.ส.ทั้ง 20 คน ก็ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพราะการที่ประชาชนเลือกเข้ามาก็เพื่อให้ ส.ส.ช่วยเหลือเวลาที่ประชาชนเดือดร้อน แต่ตามหลักแล้วการล่ารายชื่อต้องใช้เวลาหลายปี

"การที่แพทยสภาทำเช่นนี้ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับโรงพยาบาลเอกชนใช่หรือไม่ เรื่องการขยายมาตรา 41
 

กรมบัญชีกลางก็ออกมาชี้แจงแล้วว่าทำไม่ได้ จริงอยู่การเดินหน้ามาตรา 41 แพทยสภามีสิทธิ์ที่จะทำ แต่ตามหลักมนุษยธรรมแล้วไม่ควรทำ อยากให้นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณาเรื่องนี้อีกครั้ง" นางปรียนันท์ กล่าว.

โดย: ทีมข่าวการศึกษา

17 ตุลาคม 2555, 05:15 น.

http://m.thairath.co.th/content/edu/299105


โครงการอบรมพระนักเขียน รุ่นที่ 2 วันที่ 14-18 ธันวาคม 2555 / สมัครภายในวันที่ 2 ธันวาคม 2555

 

โครงการอบรมพระนักเขียน

 
(0 votes)
โครงการอบรมพระนักเขียน

โครงการอบรมพระนักเขียน

เปิดรับสมัครแล้ว! โครงการอบรมพระนักเขียนรุ่นที่ 2 โอกาสที่พระภิกษุ-สามเณร จะได้บันทึกประวัติศาสตร์พระศาสนา ด้วยปากกาพระนักเขียน หลังจากที่มีกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากพระภิกษุ – สามเณรทั่วประเทศ พร้อมทั้งปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้มีความเข้มข้น และเน้นปฏิบัติมากยิ่งขึ้น โดยพระวิทยากรและวิทยากรพิเศษจากทีมบรรณาธิการหนังสือที่มีประสบการณ์ จะได้มาถ่ายทอดความรู้ แนะแนวทางการเขียนหนังสือ และดูแลอย่างใกล้ชิดอบอุ่นเป็นกันเอง นี่อาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ฝันของใครหลาย ๆ ท่านเป็นจริงได้... รับจำนวนจำกัด...อย่ารอช้า...

โครงการอบรมพระนักเขียน

โครงการอบรมพระนักเขียน

http://www.jariyatam.com/th/news/general-news/988-9-10-2012

วันเสาร์ที่ 17 พ.ย. ณ ห้องดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร



 
จาก: ICOMOS Thailand <admin@icomosthai.org>
วันที่: 16 ตุลาคม 2555, 11:27
หัวเรื่อง: ขอเชิญเ้ข้าร่วมการเสวนาวิชาการ ครั้งที่ 37 มรดกพุทธสถาน สู่มรดกโลก วันเสาร์ที่ 17 พ.ย. ณ ห้องดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ถึง: ICOMOS Thailand <admin@icomosthai.org>


สมาคมอิโคโมสไทย
ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม
การเสวนาวิชาการ และพบปะสมาชิก ครั้งที่ 37





ผู้ที่สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ ฝ่ายเลขานุการ สมาคมอิโคโมสไทย

โทร. 02-280 - 1770 หรือ E-Mail : admin@icomosthai.org

 

 



--
ICOMOS Thailand Association
81/1, Si Ayutthaya Rd.,
Dusit, Bangkok, THAILAND 10300
Tel./Fax. +66 2 2801770



 

Lecture: Himalayan Buddhist Wall Paintings: 18 Oct. 2012: 7:30 p.m.


 
From: Jarunee <jarunee@siam-society.org>
Date: 2012/10/16
Subject: Lecture: Himalayan Buddhist Wall Paintings: 18 Oct. 2012: 7:30 p.m.
To: พิทักษ์มรดกสยาม <khongsawat.j@gmail.com>


 
Himalayan Buddhist Wall Paintings: Preservation Challenge and Issues
a talk by Sanjay Dhar


Date: Thursday 18 October 2012
Time: 7:30 p.m.
Place: The Siam Society


 
 
The Himalayan region has over the centuries played a key role in the development, propagation and nurturing of Mahayana Buddhist thought, philosophy and art. Wall paintings play a vital role not only in enlivening the environment but also in articulating and disseminating key complex ideas. The extent of wall paintings in the region both in terms of geography and time period is immense; the earliest paintings in the region date from the 10th century in Ladakh (in the Indian State of Jammu and Kashmir) and the paintings are spread across India, Nepal, Bhutan, China.

The artistic and cultural manifest of the region today faces immense challenges threatening its very survival. The traditional, identified and much studied factors of deterioration like water and light seem dwarfed by the developmental agenda of present societies, in terms of the damage that is inflicted on artistic and cultural products.

The lecture draws from experience of conservation projects across the region to present a cohesive perspective on the issues and challenges encountered in ensuring the survival of wall paintings, an important artistic, historical and religious legacy.

Sanjay Dhar, Akzo Nobel Scholar at the Courtauld Institute of Art, London obtained post graduate degrees in Conservation of Paintings and History of Art from the National Museum Institute (New Delhi), then further trained at the Universit Internazionale dell'Arte, Florence (Italy). In 1990, he joined the Indian National Trust for Art and Cultural Heritage (INTACH) in New Delhi and was involved in establishing one of the premiere conservation laboratories in the country, in research and in training conservation professionals. In 2000, he started the first private consultancy in India for the preservation of wall paintings, working with Non Governmental Institutions and international organisations like the World Monument Fund and UNESCO. He has been appointed advisor in heritage management to several State Governments and private and public museums across the country. He has received the UNESCO Asia-Pacific Award for Cultural Heritage Conservation three times for his projects.
 
The Siam Society Members, Members' spouses and children, and all students showing valid student I.D. cards, are admitted free of charge.
Non-Members Donation B200.

The Siam Society is deeply grateful to the James H.W. Thompson Foundation for its generous support of the 2012 - 2013 Lecture Series

The Society premises are situated on Asoke Montri Road (Sukhumvit Soi 21) two minutes walk from Sukhumvit subway station (exit 1)
and five minutes walk from Asoke skytrain station (exit 3).

The Journal of the Siam Society online: accessed through http://www.siam-society.org/OJS/index.php/JSS/index

"Knowledge Gives Rise to Friendship" was adopted as the Siam Society's motto in 1924,
to convey the message that the search for knowledge is the bridge to friendship between people of all nations.

The Siam Society Under Royal Patronage 
131  Asoke Montri Road, Sukhumvit 21, Bangkok 10110, THAILAND
Tel. +66 (0) 2661-6470-7, Fax. +66 (0) 2258-3491, e-mail:  info@siam-society.org
Web site: www.siam-society.org, www.siamese-heritage.org

Office Hours: Tuesday - Saturday, 9.00 a.m. - 5.00 p.m.


 


จ้งลี่เหวิน จื้อเสวียน เสียงไทย

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"สรรพสิริ วิรยศิริ" ผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ไทย-ผู้บันทึกภาพเหตุการณ์6 ตุลา 19 เสียชีวิตแล้ว

"สรรพสิริ วิรยศิริ" ผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ไทย-ผู้บันทึกภาพเหตุการณ์6 ตุลา 19 เสียชีวิตแล้ว

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 17:02:48 น.


สรรพสิริ วิรยศิริ 


มีรายงานเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ว่า   นายสรรพสิริ วิรยศิริ    ผู้บุกเบิกวงการข่าวโทรทัศน์และผู้ประกาศข่าวคนแรกของไทย  เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย  92 ปี โดยจะมีการรดน้ำศพ ในเวลา 16.00 น. ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม

 

 

 

ทั้งนี้   สรรพสิริ วิรยศิริ   เคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (ปัจจุบันคืิอ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ) อดีตผู้อำนวยการ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 (ปัจจุบันคือ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์) และอดีตผู้อำนวยการ สถานีวิทยุกระจายเสียง ท.ท.ท. (ปัจจุบันคือ สถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์นเรดิโอ) อดีตผู้สื่อข่าวสงคราม เป็นบุคคลผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ ข่าวโทรทัศน์ และโฆษณาโทรทัศน์ของไทย

 


สรรพสิริ เกิดเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2463   เป็นบุตรชายคนเล็กของพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เสง วิรยศิริ) อดีตราชเลขานุการในพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  กับนาฎ วิรยศิริ มีพี่สามคนคือ ทวีศักดิ์ เข็มน้อย และอนงค์นาฏ เขาจบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ อนุปริญญาทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และวิชาการถ่ายภาพจากสถาบันการถ่ายภาพแห่งนิวยอร์ก
 

สรรพสิริ เริ่มทำงานตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวต่างประเทศ ของกรมโฆษณาการ (ปัจจุบันคือ กรมประชาสัมพันธ์) และมีงานอดิเรกเป็นผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณา โดยสร้างแอนิเมชันในประเทศไทยเป็นคนแรก จากภาพยนตร์โฆษณาชุดหนูหล่อ ของยาหม่องบริบูรณ์บาล์ม, ชุดหมีน้อย ของนมตราหมี ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศ โฆษณาดีเด่นระดับภูมิภาคเอเชีย ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ. 2486 และชุดแม่มดกับสโนไวท์ ของแป้งน้ำควินนา  
 


จากนั้นเมื่อ พ.ศ. 2492 เป็นบุคคลแรกที่เขียนบทความเรื่อง วิทยุภาพ ขึ้น และจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้อ่านบทความดังกล่าวในปี พ.ศ. 2493 จึงมีดำริในการก่อตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้น โดยจัดตั้งในรูปบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2495 โดยสรรพสิริเข้าร่วมงานในสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 4 (ปัจจุบันคือ สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์) ด้วยการเป็นช่างภาพ ผู้รับผิดชอบฝ่ายข่าว และเป็นผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์รุ่นแรกๆ ร่วมกับอาคม มกรานนท์

 

 


 
ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 สรรพสิรินั่งรถข่าวพร้อมนำกล้องภาพยนตร์ ไปบันทึกภาพเหตุการณ์ความรุนแรง บริเวณรอบนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นก็นำกลับมาตัดต่อ และบรรยายภาพด้วยตนเอง ตามความเป็นจริงที่พบเห็นมา แล้วนำออกอากาศในช่วงบ่าย ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 ส่งผลให้คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่นำโดยพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ซึ่งกระทำรัฐประหารในเย็นวันนั้น สั่งให้ปลดสรรพสิริออกจากทุกตำแหน่งใน บจก.ไทยโทรทัศน์ โดยทันที  เป็นผลให้เขาต้องหลบไปพำนักที่จังหวัดระยองเป็นเวลาหลายปี

 


 
เมื่อ พ.ศ. 2533 สรรพสิริก่อตั้งชมรมเรารักรถไฟ และหอเกียรติภูมิรถไฟ ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนจตุจักร   รวมทั้งจัดทำหนังสือ เพื่อนรถไฟ และ รถไฟของเรา ปัจจุบัน จุลศิริ วิรยศิริ ผู้เป็นบุตรชาย รับหน้าที่ดูแลแทน เนื่องจากสรรพสิริ ล้มป่วยลงด้วยอาการอัลไซเมอร์ ตั้งแต่ราวหลายปีก่อน

 

 

 

 


ทั้งนี้ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยประกาศเกียรติคุณ ให้สรรพสิริเป็นนักเขียนอาวุโส ผู้มีผลงานเป็นที่ยกย่องกว้างขวาง จึงเป็นหนึ่งในผู้ได้รับรางวัลนราธิป ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2545

 

 

 

คลิกอ่าน  สารคดีชีวประวัติ : สรรพสิริ วิรยศิริ ผู้บุกเบิกวงการโทรทัศน์ไทย 



วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

(322) Facebook

(322) Facebook


ยามค่ำคืน มีแต่ความเงียบ สงัด!!



admin@GTR

หนังสือแสดงเจตนาเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในวาระสุดท้าย ของชีวิต

หนังสือแสดงเจตนาเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในวาระสุดท้าย ของชีวิต

เมื่อปี พ.ศ. 2550 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ  กฎหมายฉบับนี้มิใช่เป็นเพียงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการแพทย์และ สาธารณสุขเท่านั้น  แต่กฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนโดยทั่วไปด้วย เพราะได้นิยามความหมายของคำว่า "สุขภาพ"   ในภาพกว้าง และเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทยก็คือ การทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งในต่างประเทศเรียกว่า การทำ Living Will หรือ Advance Directive  อนึ่งแม้ว่าใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว แต่กฎหมายดังกล่าวได้เขียนไว้ว่า การดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ยกร่างกฎกระทรวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างขั้นตอนการนำเสนอ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป 
 

1. หนังสือแสดงเจตนาเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (Living Will) ตามมาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ

มาตรา 12 ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ บัญญัติไว้ว่า   

"มาตรา  12  บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไป เพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน  หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้

การดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

เมื่อผู้ประ กอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง"

 

ความ มุ่งหมายของบทบัญญัติดังกล่าว มุ่งที่จะรับรองสิทธิของผู้ป่วยที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง (right to self-determination) ที่จะขอตายอย่างสงบตามธรรมชาติ  ไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือต่างๆ จากเทคโนโลยีทางการแพทย์  ซึ่งต้องเข้าใจว่าการแสดงเจตนาดังกล่าว มิใช่เรื่องการุณยฆาต (Mercy Killing)  ไม่ใช่กรณีเร่งการตายที่เป็น Active Euthanasia  แต่เป็นเรื่องของการตายตามธรรมชาติ โดยไม่ประสงค์จะยืดการตายด้วยการใช้เทคโนโลยีต่างๆ 

การเขียน Living Will ไว้จึงเป็นแนวทางให้แพทย์ได้เดินไปในแนวทางของ Passive Euthanasia  โดยไม่ใช้เครื่องมือต่างๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่  การรักษาพยาบาลที่ควรกระทำคือ การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ตามอาการที่เกิดขึ้น บรรเทาความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วย และช่วยให้เขาได้จากไปอย่างสงบตามวิถีแห่งธรรมชาติ  

2. กฎกระทรวงเพื่อดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือเพื่อยุติการทรมาน จากการเจ็บป่วย 

โดยที่มาตรา 12 แห่งพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มิได้กำหนดแบบของหนังสือแสดงเจตนา  การออกกฎกระทรวงจึงต้องกำหนดให้สอดคล้องกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ คือกำหนดได้เฉพาะเกี่ยวกับรายละเอียดในขั้นตอนดำเนินการ  อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในถ้อยคำของมาตรา 12  ในกฎกระทรวงจึงเริ่มด้วยการขยายความถ้อยคำหรือข้อความในมาตรา 12 ดังนี้

"หนังสือ แสดงเจตนา" หมายความว่า หนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าของบุคคลผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาที่ไม่ประสงค์จะรับ บริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย โดยให้มีผลเมื่อผู้ทำหนังสืออยู่ในภาวะที่ไม่อาจจะแสดงเจตนาด้วยตนเองได้ โดยวิธีสื่อสารตามปกติ และให้หมายความรวมถึงเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ที่บุคคลสามารถแสดงเจตนาได้

"บริการ สาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย" หมายความว่า วิธีการทางการแพทย์หรือวิธีการอื่นใด ที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตัดสินใจนำมาใช้กับผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา เพื่อวัตถุประสงค์จะยืดการตายออกไป โดยไม่ทำให้ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาพ้นไปจากความตาย หรือพ้นจากการทรมานโดยสิ้นเชิงได้ โดยรวมถึงการช่วยการหายใจ การให้ยาเพิ่มหรือลดความดันโลหิตและชีพจรชั่วคราว การถ่ายเลือด การล้างไต และวิธีการอื่นทำนองเดียวกัน  แต่ไม่รวมถึงการให้ยาหรือวิธีการใดที่จะระงับความเจ็บปวดเฉพาะคราว

"วาระ สุดท้ายของชีวิต" หมายความว่า ภาวะของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอันเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรค ที่ไม่อาจจะรักษาให้หายได้และจากการพยากรณ์โรคตามมาตรฐานทั่วไปในทางวิชาชีพ เห็นว่า ภาวะนั้นจะนำไปสู่การตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน และให้รวมถึงภาวะที่ผู้ป่วยอยู่ในสภาพผักถาวรด้วย

โดยที่ความหมาย ของ "วาระสุดท้ายของชีวิต" หมายความรวมถึง ภาวะที่ผู้ป่วยอยู่ในสภาพผักถาวรด้วย  ดังเช่นกรณีที่มักเรียกกันว่า อยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราหรือเจ้าหญิงนิทรา คือยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้  ในกฎกระทรวงที่ยกร่างขึ้นนี้ จึงได้ขยายความคำว่า "สภาพผักถาวร" (persistent vegetative state – PVS) ด้วยดังนี้

"สภาพผักถาวร" หมายความว่า ภาวะของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยตามมาตรฐานทางวิชาการแพทย์ว่า มีการสูญเสียหน้าที่อย่างถาวรของเปลือกสมองใหญ่ ที่ทำให้ขาดความสามารถในการรับรู้และติดต่อสื่อสารอย่างยาวนานและถาวร โดยปราศจากพฤติกรรมการตอบสนองใดๆ ที่แสดงถึงการรับรู้ได้ จะมีก็เพียงปฏิกิริยาสนองตอบอัตโนมัติเท่านั้น 
 นอกจากนี้ ยังได้ขยายความหมายของข้อความที่ว่า "การทรมานจากการเจ็บป่วย" ด้วย โดยให้มีความหมายดังนี้  

"การ ทรมานจากการเจ็บป่วย" หมายความว่า ความทุกข์ทรมานทางกาย ทางจิตใจของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา อันเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคที่ไม่อาจรักษาให้ผู้ป่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่จะทำให้ความทุกข์ทรมานดังกล่าวลดน้อยลงพอที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือหายจากการบาดเจ็บหรือโรคนั้นได้ เช่น การเป็นอัมพาตสิ้นเชิงตั้งแต่คอลงไป โรคสมองเสื่อม โรคที่มีความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและข้อที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทาง พันธุกรรม เป็นต้น  

เมื่อได้ขยายความหมายของถ้อยคำในมาตรา 12 ให้เกิดความชัดเจน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว  ในข้อ 2 ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการทำหนังสือแสดงเจตนาไว้ ดังนี้

2.1 เพื่อให้หนังสือแสดงเจตนา มีความชัดเจนที่จะดำเนินการตามความประสงค์ของผู้ทำหนังสือดังกล่าว หนังสือแสดงเจตนาควรมีข้อมูลให้สามารถสื่อความหมายได้ ดังนี้

ก. รายการที่แสดงข้อมูลของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา (เช่น ชื่อ สกุล อายุ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้)
ข. วัน เดือน ปีที่ทำหนังสือแสดงเจตนา 
ค. ชื่อพยานและคุณสมบัติของพยานที่รับรองสติสัมปชัญญะของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา (ถ้ามีใบรับรองแพทย์ก็ให้แนบไว้กับหนังสือแสดงเจตนาด้วย) 
ง. ระบุประเภทของบริการสาธารณสุขที่ไม่ต้องการจะได้รับ และกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพให้บริการไปก่อนหน้าแล้ว ก็ให้ระบุข้อความว่า ให้ระงับการให้บริการนั้นได้ 
จ. กรณีที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา มิได้เขียนหนังสือแสดงเจตนาด้วยตนเอง ให้ระบุชื่อผู้เขียนหรือผู้พิมพ์หนังสือแสดงเจตนาด้วย   
ฉ. ลายมือชื่อหรือลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา ลายมือชื่อของพยาน และผู้เขียนหรือผู้พิมพ์

2.2 หนังสือแสดงเจตนาอาจระบุชื่อบุคคลใกล้ชิด ที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาให้ความไว้วางใจ ซึ่งต้องเป็นผู้มีความสามารถสมบูรณ์ตามกฎหมายไว้ด้วยก็ได้ เพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจตามความประสงค์ที่แท้จริงของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา  รวมทั้งกรณีที่หนังสือแสดงเจตนาระบุให้บุคคลดังกล่าว เป็นผู้ตัดสินใจปฏิเสธการรักษาใดๆ แทนตนก็ได้  บุคคลผู้ถูกระบุชื่อดังกล่าวต้องแสดงการยอมรับ โดยต้องลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือแสดงเจตนาไว้ด้วย  

2.3 ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอาจเปลี่ยนแปลงหนังสือแสดงเจตนาได้ตลอดเวลา  ในกรณีมีหนังสือแสดงเจตนาหลายฉบับ ให้ถือฉบับที่ทำครั้งสุดท้ายเป็นฉบับที่มีผลบังคับ 

2.4 หนังสือแสดงเจตนาอาจระบุรายละเอียดอื่นๆ เช่น ความประสงค์ในการเสียชีวิตที่บ้าน ความปรารถนาของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาที่จะได้รับการเยียวยาทางจิตใจ ซึ่งหมายรวมถึงการสวดมนต์ การปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรมของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา ทั้งนี้ สถานพยาบาลควรให้ความร่วมมือตามความเหมาะสม   

สำหรับวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนานั้น ในข้อ 3 ของร่างกฎกระทรวงได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ดังนี้ 

ข้อ 3 หลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา มีดังต่อไปนี้

3.1 ผู้เก็บรักษาหนังสือแสดงเจตนาของผู้ใดไว้ เมื่อผู้แสดงเจตนาเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลใด ให้แสดงหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วย หรือข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพด้าน สาธารณสุขของสถานพยาบาลนั้นโดยไม่ชักช้า  และให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขนำหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วย เก็บเข้าในแฟ้มเวชระเบียนของผู้ป่วย พร้อมทั้งให้รายงานให้ผู้บริหารสถานพยาบาลนั้นได้ทราบ

กรณีที่ผู้ ป่วยยังไม่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและมิได้ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนา เมื่อผู้ป่วยออกจากสถานพยาบาล ให้ส่งคืนหนังสือแสดงเจตนานั้นแก่ผู้ป่วย  

3.2 ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาผู้ป่วย ทำความเข้าใจโดยอธิบายภาวะและความเป็นไปของโรคของผู้ป่วยให้ผู้ป่วยทราบ พร้อมทั้งขอคำยืนยันการปฏิเสธบริการสาธารณสุขตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว รวมทั้งอธิบายถึงวิธีปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนานั้นให้ผู้ป่วยเข้าใจให้ชัด แจ้ง

ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในภาวะที่จะรับรู้ สื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติ ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาผู้ป่วยดำเนินการตามหนังสือ แสดงเจตนา

3.3 ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะดีพอที่จะสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามปกติ และผู้ป่วยมีความประสงค์จะทำหนังสือแสดงเจตนาที่สถานพยาบาล ก็ให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลที่เกี่ยว ข้องให้ความสะดวกตามสมควร ดังนี้

ก. อำนวยความสะดวกในการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วย โดยอาจจัดเตรียมแบบฟอร์มหนังสือแสดงเจตนาที่สถานพยาบาลจัดทำขึ้น  
ข. ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยในการทำหนังสือแสดงเจตนาตามข้อ 2  

3.4 กรณีที่มีปัญหาการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนา หรือการตีความหนังสือแสดงเจตนา   ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้รับผิดชอบการรักษาผู้ป่วย ควรปรึกษาหารือกับบุคคลใกล้ชิดตามข้อ 2.2 หรือญาติผู้ป่วย เพื่อกำหนดแนวทางการดูแลรักษาต่อไป โดยควรทำการรักษาเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย และคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

3.5 ในกรณีที่ผู้ทำหนังสือแสดงเจตนาอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ให้หนังสือแสดงเจตนามีผลก็ต่อเมื่อผู้นั้นพ้นจากสภาพการตั้งครรภ์  

อนึ่ง แม้ในร่างกฎกระทรวงจะได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ ไว้แล้ว  แต่ก็ยังไม่อาจจะเขียนให้ครอบคลุมปัญหาในทางปฏิบัติได้ทั้งหมด  อีกทั้งปัญหาในภาคปฏิบัติบางกรณี  อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละสถานที่  ในข้อ 4 ของร่างกฎกระทรวงจึงได้กำหนดว่า

ข้อ 4 สถานพยาบาลอาจกำหนดแนวปฏิบัติหรือระเบียบภายใน เพื่อให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาล สามารถปฏิบัติงานได้สะดวกตามกฎกระทรวงนี้

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การประกาศกฎกระทรวงในครั้งนี้ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามหนังสือแสดงเจตนา (Living Will) เท่านั้น มิได้กำหนดในเรื่องของแบบหนังสือแสดงเจตนา เพราะกฎกระทรวงจะเขียนเกินกว่าความมุ่งหมายที่พระราชบัญญัตินี้ให้อำนาจไว้ ไม่ได้  อย่างไรก็ตาม คนส่วนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านธรรมดา มักจะสอบถามและมีความกังวลว่า รูปแบบที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร  ชาวบ้านจะเขียนได้หรือไม่  เพื่อให้เกิดความสะดวกในเรื่องดังกล่าว  ทางศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดทำตัวอย่างหนังสือแสดงเจตนาฯ ที่สถานพยาบาลทุกแห่งสามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้ ดูตัวอย่างแบบฟอร์ม
 

หมายเหตุ
--พ.ร. บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 3 "สุขภาพ" หมายความว่า ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล

--ดูราย ละเอียดเพิ่มเติมได้จาก ไพศาล ลิ้มสถิตย์ และอภิราชย์ ขันธ์เสน (บรรณาธิการ) , ก่อนวันผลัดใบ : หนังสือแสดงเจตนาการจากไปในวาะสุดท้าย, พิมพ์ครั้งที่ 2 (สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, 2552), หน้า 134-138.

ศาสตราจารย์ แสวง บุญเฉลิมวิภาส
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์