กสทช.หาทางออกพิพาท 'พรีเพด' นัดผู้ประกอบการถก 8 ก.พ.
กสทช.เอาจริงการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าพรีเพด เล็งเรียกผู้ประกอบการมือถือถกร่วมวันที่ 8 ก.พ. หลังแจ้งเตือนไปแล้ว 30 วัน ย้ำปรับ 2 หมื่นบาทต่อวัน ไม่ได้ขู่...
นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย ในฐานะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) กล่าวว่า การประชุม กทค.ครั้งที่ 4/2555 เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2555 ได้กำชับให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการบังคับทางปกครองให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายปฏิบัติตามข้อ 38 ของประกาศ กทช. เรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 ซึ่งผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ โดยขณะนี้ได้รับรายงานว่า สำนักงาน กสทช.ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 ม.ค. 2555 แจ้งเตือนให้ผู้ให้บริการปฏิบัติให้ถูกต้องภายใน 30 วัน หากยังคงฝ่าฝืน เลขาธิการ กสทช. มีอำนาจกำหนดค่าปรับทางปกครองในอัตราไม่น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อวัน
"ผมเห็นว่าการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากในสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของยาเสพติด หรือสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีบุคคลบางกลุ่มนำซิมการ์ดประเภทพรีเพด ไปสนับสนุนการกระทำความผิด จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในการจัดเก็บข้อมูลก็ไม่ควรจะสร้างภาระแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบกิจการมากเกินควร ฉะนั้น หากหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บข้อมูลตึงจนปฏิบัติได้ยาก ควรปรับให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และการปฏิบัติตามกฎหมาย จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุม กทค. จึงมีมติให้เชิญกลุ่มผู้ประกอบกิจการมาหารือร่วมกัน ในช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.พ.นี้ ซึ่งเห็นว่าควรมีตัวแทนของกลุ่มผู้บริโภคเข้าร่วมหารือด้วย เพราะจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้บริโภคด้วย ในวันดังกล่าวจึงได้เชิญตัวแทนจากกลุ่มผู้บริโภคมาหารือพร้อมกัน" นายสุทธิพล กล่าว
ทั้งนี้ ประกาศ กทช. ข้างต้นกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการมีหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ ซึ่งรวมถึงชื่อและที่อยู่ของผู้ใช้บริการ พร้อมสำเนาบัตรประจำตัว หรือเอกสารอื่นใดที่ใช้แทนได้ที่ออกโดยราชการ โดยให้คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บ แต่ขณะนี้ กสทช.ยังมิได้จัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บ จึงได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. รีบยกร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บ ซึ่งอาจพิจารณาระบุให้มีการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบเอกสาร หรือสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ รวมทั้งจะพิจารณาว่าจะสามารถจัดเก็บ โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลักได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดเก็บ โดยจะได้นำร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบด้านโทรคมนาคม ซึ่งตนเป็นประธานพิจารณาในวันที่ 6 ก.พ.นี้ และหากที่ประชุมคณะอนุกรรมการเห็นชอบแล้วก็จะเสนอให้ที่ประชุม กทค.พิจารณาต่อไป
ส่วนกรณีที่สหพันธ์คุ้มครองผู้บริโภคออกแถลงการณ์ และทวงถามเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ กสทช. ในการบังคับผู้ให้บริการจะต้องปฎิบัติตามข้อ 11 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ซึ่งระบุห้ามผู้ประกอบกิจการกำหนดระยะเวลาการใช้งานสำหรับบัตรเติมเงินพรีเพดนั้น ทาง กสทช.ได้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากการที่เลขาธิการ กสทช. ได้มีคำสั่งทางปกครองให้ผู้ประกอบกิจการระงับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศแล้ว แต่ผู้ประกอบกิจการได้อุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของเลขาธิการ กสทช. และเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2555 บอร์ด กทค.ได้พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ประกอบกิจการ และมีมติยืนตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว โดยได้แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกอบกิจการปฏิบัติตามแล้ว จึงมิใช่กรณี กสทช. มิได้ดำเนินการในเรื่องนี้แต่อย่างใด
นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า การปรับแก้ประกาศของ กทช. จะเกี่ยวข้องกับเรื่องหลักเกณฑ์การจัดสรรและบริหารเลขหมายโทรคมนาคม พ.ศ.2551 ข้อ 38 กำหนดให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ พรีเพด จัดเก็บข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ แต่ขณะนี้ผู้ให้บริการยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศ ดังนั้น เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2555 สำนักงาน กสทช.ได้ทำหนังสือเตือนเพื่อส่งให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ปฏิบัติให้ถูกต้องภายใน 30 วัน พร้อมเตรียมแนวทางกำหนดค่าปรับทางปกครอง ในอัตราไม่น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อวัน หากไม่ปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทย ปี 2553 ที่ผ่านมา มีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนกว่า 70 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นระบบเติมเงิน หรือพรีเพด จำนวน 63.4 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นระบบรายเดือน หรือโพสเพด.
โดย: ทีมข่าวไอทีออนไลน์
5 กุมภาพันธ์ 2555, 09:00 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น