วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

คณะธรรมยุติกนิกาย หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า พระสงฆ์ธรรมยุต

รูปภาพ
ภาพทรงศีล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ 
(หรือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระวชิรญาณเถระ) 



การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาครั้งสำคัญ 

เนื่องมาจากการทรงผนวชของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ในสมัยของ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ครั้งนั้น 
ได้ก่อให้เกิดการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ที่นับว่าสำคัญครั้งหนึ่ง 
ในประวัติการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในเวลาต่อมา 

กล่าวคือ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จกลับมาประทับทรงศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดมหาธาตุ 
จนทรงรอบรู้ในภาษาบาลีและเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกแล้ว 
ก็ทรงพิจารณาเห็นความบกพร่องในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในยุคนั้น 
ดังพระบรมราชาธิบายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า

"ผลแห่งการที่ทรงศึกษาและพิจารณาทั่วถึงละเอียดเข้า 
ก็ให้เกิดความสลดพระราชหฤทัยไปว่าวัตรปฏิบัติแลอาจาริยสมัย 
ซึ่งได้นำสั่งสอนกันสืบๆ มานี้ เคลื่อนคลาดห่างเหิน แลหยาบหย่อนไปเป็นอันมาก 
ดูประหนึ่งว่าจะมีรากเง่าเค้ามูลอันเน่าผุไปเสียแล้ว"


ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ดังที่ได้ทรงศึกษาจากท่าน ผู้รู้และพิจารณาสอบสวนกับพระไตรปิฏก
ที่ได้ทรงศึกษาจนเชี่ยวชาญแตกฉาน โดยพระองค์เองทรงประพฤตินำขึ้นก่อน
แล้วภิกษุสามเณรอื่นๆ ที่นิยมเลื่อมใสก็ประพฤติตาม

ในระยะแรกที่ทรงพระราชดำริปรับปรุงแก้ไขวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ดังกล่าวนั้น 
ยังเสด็จประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ จึงทรงรู้สึกไม่สะดวกพระราชหฤทัย 
เพราะวัดพระมหาธาตุเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราช 
ทั้งทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระองค์ด้วย 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงย้ายไปประทับ 
ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) อันเป็นวัดที่อยู่นอกกำแพงพระนคร 
ทั้งนี้ก็คงเพราะความที่ทรงเคารพในสมเด็จพระสังฆราช 
และเพื่อจะได้ไม่เป็นที่ขัดข้องพระทัยของสมเด็จพระสังฆราช
เกี่ยวกับการปฏิบัติของพระองค์นั่นเอง

เมื่อเสด็จไปประทับ ณ วัดสมอราย แล้ว ก็ทรงปรับปรุงแก้ไข
วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ตามแนวแห่งพระราชดำริได้สะดวกนั้น 
กระทั่งมีผู้ปฏิบัติตามเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นพระสงฆ์หมู่ใหญ่ 
ซึ่งได้รับการขนานนามในเวลาภายหลังต่อมาว่า 
คณะธรรมยุติกนิกาย หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า พระสงฆ์ธรรมยุต

พระราชดำริในการปรับปรุงแก้ไขพระศาสนาของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น มิได้จำกัดอยู่เฉพาะ 
เรื่องวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการศึกษาพระปริยัติธรรม 
และการเทศนาสั่งสอนพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัทด้วย 
จึงนับเป็นช่วงแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญช่วงหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทะนุบำรุงพระศาสนา


จัดสมณทูตไทยไปลังกา

สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ทรงพระชนม์สืบมาถึงรัชกาลที่ ๓ 
และในปีสุดท้ายแห่งพระชนมชีพของ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) 
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ทรงพระราชดำริเห็นพร้อมกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงผนวชอยู่และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ในขณะนั้นว่า 

การพระศาสนาในลังกาจะเป็นอย่างไร 
ไม่ได้ไปสืบสวนให้ทราบความช้านานหลายปีมาแล้ว 
อีกประการหนึ่ง หนังสือพระไตรปิฏกที่ฉบับของไทยยังบกพร่อง 
ควรจะสอบสวนกับฉบับลังกามีอยู่หลายคัมภีร์ 

ถ้าแต่งพระภิกษุสงฆ์ไทยเป็นสมณทูตไปลังกาอีกสักครั้งหนึ่ง เห็นจะเป็นการดี 
ทรงพระราชดำริเห็นพร้อมกันเช่นนี้
จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเลือกสรรพระภิกษุที่จะส่งไปลังกา 
และมีสมณลิขิตไปถึงสังฆนายกตามพระราชประสงค์ 

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกได้พระภิกษุสงฆ์ธรรมยุติกา ๕ รูป 
พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรชาวลังกาอีก ๕ รูป 
ซึ่งเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เมื่อ ๒ ปีก่อน 
และเดินทางกลับบ้านเมืองของตนในคราวนี้ด้วยได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ 
โดยเรือหลวง ชื่อจินดาดวงแก้ว เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๒ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล 
ตรงกับวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๓๘๕ สมณทูตชุดนี้เดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ 
ในเดือน ๖ ปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๘๖ พร้อมทั้งได้ยืมคัมภีร์พระไตรปิฎกมาด้วย ๔๐ คัมภีร์

ตามเรื่องราวที่ปรากฏแสดงว่า 

การสมณทูตไทยไปลังกาครั้งนี้ยังประโยชน์แก่
พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างมาก 
เพราะทำให้คณะสงฆ์ไทยมีโอกาสได้คัมภีร์พระไตรปิฎกจากลังกา
มาสอบสวนกับพระไตรปิฏกของไทยในส่วนที่บกพร่องสงสัย 
ให้สมบูรณ์ครบถ้วนยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนชาวไทย 
ได้คัมภีร์พระไตรปิฎกที่เป็นหลักฐานสำคัญ
ของพระพุทธศาสนาครบถ้วนสมบูรณ์สืบมาดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน



ชำระความพระสงฆ์ครั้งใหญ่

ในตอนปลายสมัยของ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) นี้ 
ได้มีการชำระความพระสงฆ์ที่ประพฤติอนาจารครั้งใหญ่ 
ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้ 

"เมื่อ ณ เดือน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เกิด 
ชำระความพระสงฆ์ที่ประพฤติอนาจารมิควร 
ได้ตัวชำระสึกเสียก็มาก ประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่หนีไปก็มาก 
พระราชาคณะเป็นปาราชิกก็หลายรูป" 


นับเป็นการชำระสะสางอลัชชีในคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ที่สุด
เท่าที่ปรากฏในประวัติการณ์ของคณะสงฆ์ ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ 

ทั้งเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์ในยุคนั้น
ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึง 
ความเอาพระทัยในการคณะสงฆ์ของ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอย่างจริงจัง 
ที่ทรงอุตสาหะชำระสะสางการพระศาสนา
และการคณะสงฆ์ให้บริสุทธิบริบูรณ์อย่างเต็มพระกำลังสติปัญญาอยู่เสมอ


พระอวสานกาล 

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) 
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลานานถึง ๑๙ ปี ๖ เดือน 
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๖๕ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๘๕ 
ตรงกับวันศุกร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีขาล ในรัชกาลที่ ๓ 
มีพระชนม์มายุได้ ๘๑ พรรษา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 
โปรดเกล้าฯ ให้ทำเมรุผ้าขาวแล้วพระราชทานเพลิงพระศพ
เมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๘๖ 

(มีต่อ ๓)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง
 

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2013, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์ 
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1693


{ GIVEN }: { THANKS } 
{ RECEIVED }: { THANKS } 

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
ศาลาการเปรียญ วัดราชาธิวาส สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง 


ประวัติและความสำคัญของวัดราชาธิวาส 

วัดราชาธิวาส หรือ วัดราชาธิวาส ราชวรวิหาร
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร
เป็นวัดที่สร้างมานานแล้ว สันนิษฐานว่าสร้างสมัยกรุงละโว้ 
เดิมชื่อว่า วัดสมอราย รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชวิจารณ์ว่า 
คำว่า "สมอ" นี้ มาจากภาษาเขมร ว่า "ถมอ" 
ที่แปลว่า "หินถมอราย" ซึ่งหมายถึง "หินเรียงราย" 

เมื่อรัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ ทรงปรารภว่า 
วัดสมอรายเป็นที่ประทับระหว่างทรงผนวช 
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)
และของกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ 
จึงพระราชทานนามเสียใหม่ว่า วัดราชาธิวาสวิหาร ในจุลศักราช ๑๒๑๓ 
แต่ในนามเอกสารต่างๆ เรียกวัดนี้ว่า วัดราชาธิวาส 
ตลอดรัชกาลที่ ๔ และ ๕ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน 

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงอุปสมบท 
แล้วเสด็จมาประทับที่วัดนี้ กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ 
เมื่อทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ 
ทรงผนวชแล้วก็เสด็จมาประทับด้วยพระองค์เอง 
ซึ่งต่อมาภายหลังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี 
พระเจ้ากรุงกัมพูชา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ

และเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๓ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ หลังจากประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุ 
ทรงปฎิบัติอุปัชฌายวัตรตามพระวินัยแล้วก็เสด็จมาจำพรรษาที่วัดสมอราย
จนถึงสิ้นราชกาลที่ ๒ และยังประทับที่วัดนี้จนตลอดพรรษา 
แล้วเสด็จประทับวัดมหาธาตุบ้าง วัดสมอรายบ้าง 
จนถึง พ.ศ. ๒๓๗๒ จึงประทับที่วัดสมอรายเป็นการถาวร
โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ 
ทรงทราบแล้วจึงรับสั่งให้ปลูกพระตำหนักถวาย

รูปภาพ
พระอุโบสถวัดราชาธิวาส 
ออกแบบโดยสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ 



ในรัชกาลที่ ๓ ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่วัดนี้ด้วย 
ได้มีการปฏิสังขรณ์ทั้งพระอาราม เมื่อรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ก็มีการปฏิสังขรณ์ต่อ 
ครั้นต้นรัชกาลที่ ๕ ก็มีการปฏิสังขรณ์อีกใน ร.ศ. ๑๒๓ 
โปรดเกล้าๆ ให้รื้อและสร้างเสนาสนะขึ้นใหม่หลายสิ่ง คือ 
พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ พระตำหนักพระจอมเกล้า หอสวดมนต์ 
ศาลาคู่หน้าพระอุโบสถ ปัจจุบันรื้อแล้ว 
หมู่กุฏิจัดเป็น ๓ คณะ เขื่อนก่อด้วยอิฐ พระเจดีย์ดัดแปลงจากของ รั้วเสาหิน 
เรียกว่าเสาอินทขีล ภูเขา และสระน้ำซึ่งถมระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๒-๒๔๖๘ 
หลังจากนั้นก็มีการปฏิสังขรณ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=44308

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น