พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ประวัติและความสำคัญของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร
มีเนื้อที่ทั้งสิ้น ๑๐,๕๖๖ ตารางวา ๑๔ ตารางศอก
ตั้งอยู่แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ระหว่างถนนสายใหญ่คือ
ถนนพระรามที่ ๕ ถนนศรีอยุธยา ถนนราชดำเนินนอก และถนนพิษณุโลก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ
และวางแบบแปลนแผนผังแยกสัดส่วนเป็นเขตพุทธาวาส สังฆาวาส
และที่ธรณีสงฆ์สำหรับผู้อุปัฏฐากภิกษุสามเณรอยู่อาศัย
ในเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส มีสนามหญ้าและปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น
กุฏิที่อยู่ของภิกษุสามเณร เป็นระเบียบ ปลอดโปร่ง
ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง
ประวัติเดิม วัดเบญจมบพิตร เดิมเป็นวัดโบราณมีชื่อว่า
"วัดแหลม" หรือ
"วัดไทรทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด
จนถึงปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
จึงปรากฏชื่อขึ้นในประวัติศาสตร์ เมื่อเจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์
ประเทศราชของไทย ได้ก่อการกบฎยกทัพมาตีไทย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ (พระองค์เจ้าพนมวัน พระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหน้านภาลัย
กับเจ้าจอมศิลา ต้นราชสกุล พนมวัน) เป็นผู้บัญชาการกองทัพในส่วนการรักษาพระนคร
โดยทรงตั้งกองบัญชาการอยู่ในบริเวณ
"วัดแหลม" หรือ
"วัดไทรทอง" นี้
เมื่อเสร็จสิ้นการปราบกบฏแล้ว
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี และพระกนิษฐภาดา
ร่วมเจ้าจอมมารดาอีก ๔ พระองค์ ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้น
ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๐-๒๓๗๑
แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ ๕ องค์ รายด้านหน้าวัดเป็นอนุสรณ์
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า
"วัดเบญจบพิตร" ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย ๕ พระองค์
หรือวัดที่เจ้านาย ๕ พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น
การเริ่มสถาปนา ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๑
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์จะทรงสร้างพระราชอุทยาน
เป็นที่ประทับแรมสำราญพระราชอิริยาบถในวันสุดสัปดาห์
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่บริเวณด้านทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง
ระหว่างคลองสามเสนกับคลองผดุงกรุงเกษม
ซึ่งเป็นที่สวนและทุ่งนา ตามราคาจากราษฎร
ด้วยพระราชทรัพย์สำหรับใช้จ่ายการในพระองค์ พระราชทานนามว่า
"สวนดุสิต" ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เริ่มลงมือตัดไม้ ปรับพื้นที่เพื่อสร้างสวนดุสิต
เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๑ และได้ทำการสืบมา
จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ จึงได้เสด็จเถลิงพลับพลาเป็นครั้งแรก
การสร้างสวนดุสิต ได้ใช้พื้นที่ของวัดดุสิต หรือวัดดุสิดาราม
ที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม มีภิกษุอยู่เพียง ๑ รูป เป็นที่สร้างพลับพลา
และที่วัดร้างอีกวัดหนึ่งตัดเป็นถนนภายในสวนดุสิตด้วย
ประกอบกับมี
"วัดเบญจบพิตร" ที่ชำรุดทรุดโทรมอยู่ใกล้เขตพระราชฐานด้านทิศใต้ด้วย
จึงมีพระราชดำริที่จะทรงทำ
"ผาติกรรม" สถาปนาวัดขึ้นใหม่ โดยมีพระราชประสงค์สำคัญคือ
๑. เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
เมื่อทรงใช้ที่วัดสร้างพระราชอุทยาน ก็ทรงทำ
"ผาติกรรม" สร้างวัดขึ้นทดแทนตามประเพณี โดยสร้างเพียงวัดเดียว
แต่ทำให้เป็นพิเศษ วิจิตรงดงาม สมควรที่จะเป็นวัดอยู่ใกล้เขตพระราชฐาน
๒. เป็นที่แสดงแบบอย่างทางการช่างของสยามประเทศ
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถพร้อมพระระเบียงอย่างวิจิตรงดงาม
ด้วยแบบอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ
๓. เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณสมัยและปางต่างๆ
ที่สร้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้ประชาชนเห็นเป็นแบบอย่าง
ภายในพระระเบียง ซุ้มมุขหลังพระอุโบสถ และซุ้มมุขด้านนอกพระระเบียง
๔. เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมและวิชาชั้นสูงซึ่งทรงเรียกว่า
"คอเลซ" (College) เป็นการเกื้อกูลแก่คณะสงฆ์มหานิกาย
๕. เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งพระองค์
โดยเมื่อสถาปนาขึ้นแล้วพระราชทานนามใหม่ว่า
"วัดเบญจมบพิตร" ซึ่งหมายถึงวัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ กับได้ทรงแสดงพระราชประสงค์ไว้ว่า
เมื่อพระองค์สวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว
ให้นำพระสรีรางคารไปบรรจุไว้ใต้รัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช
ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีบรรจุพระสรีรางคารตามพระราชประสงค์
เมื่อเริ่มการสถาปนา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างในวัดเดิมทั้งหมด
ปรับพื้นที่ก่อสร้าง สังฆเสนาสน์สำหรับพระสงฆ์สามเณรอยู่อาศัยได้ ๓๓ รูป
เท่ากับปีที่ทรงครองราชสมบัติ โดยทรงมอบหมายให้
เจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา เมื่อครั้งเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจราช)
เป็นผู้รับผิดชอบ กับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถชั่วคราว
เป็นอาคารไม้หลังคามุงจาก เพื่อทำสังฆกรรมไปพลางก่อน
วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒
ซึ่งเป็นวันเสด็จเถลิงพลับพลาประทับแรมที่สวนดุสิตครั้งแรก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดเบญจมบพิตร
ทรงประเคนประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่วิสุงคามสีมาแก่
สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นประธานสงฆ์
สมเด็จพระวันรัต อ่านประกาศพระบรมราชูทิศในที่ประชุมสงฆ์
ซึ่งปรากฏข้อความในประกาศพระบรมราชูทิศตอนหนึ่งว่า
".....ทรงพระราชทานนามวัด วัดเบญจมบพิตร
แสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์....." จึงถือได้ว่า วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ เป็นวันที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงประกาศสถาปนาวัดเบญจมบพิตรขึ้น แล้วได้ดำเนินการก่อสร้างเป็นลำดับมา
ถึงปี พ.ศ. ๒๔๔๓ เมื่อการก่อสร้างสังฆเสนาสน์แล้วเสร็จตามพระราชประสงค์ในขั้นแรก
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แห่พระสงฆ์สามเณร ๓๓ รูป
ซึ่งโปรดให้คัดเลือกได้แล้ว และให้รวมฝึกอบรมอยู่ที่
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ไปอยู่วัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓
และในคราวนี้เองได้พระราชทานที่วัดเพิ่มเติม
และสร้อยนามต่อท้ายชื่อวัดว่า
"ดุสิตวนาราม" เรียกรวมกันว่า
"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๕
เมื่อครั้งทรงผนวช องค์สถาปนาวัด
และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวิดติวงศ์
องค์สถาปนิกผู้ออกแบบพระอุโบสถ ในส่วนพระอุโบสถถาวร และพระระเบียง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (พระองค์เจ้าจิตรเจริญ ต้นราชสกุล จิตรพงศ์) เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
เป็นสถาปนิกเขียนแบบแปลนแผนผัง และเริ่มการก่อสร้างต่อไป
พร้อมๆ กับการก่อสร้างเสนาสนะอื่นๆ
ส่วนการก่อสร้างนั้น
พระยาราชสงคราม (กร หงสกุล บุตรพระยาราชสงคราม ทัด)
ช่างก่อสร้างฝีมือดีที่สุดในขณะนั้น ได้ดำเนินการก่อสร้างมาตามลำดับ
จนถึงวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จสวรรคต
การก่อสร้างสังฆเสนาสน์อื่นๆ ยังไม่แล้วเสร็จครบถ้วน
ตามแผนผังที่ทรงวางไว้ การประดับตกแต่งพระอุโบสถบางส่วน
และสังฆเสนาสน์บางแห่ง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ตามพระราชประสงค์
ดังนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงทรงดำเนินการต่อมา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ขึ้น
และเมื่อหินอ่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อจากประเทศอิตาลีเข้ามาถึงแล้ว
ก็โปรดเกล้าฯ ให้ประดับในส่วนที่ยังค้างอยู่จนเรียบร้อย
กับให้ช่างกรมศิลปากรเขียนผนังภายในพระอุโบสถด้วยสีน้ำมัน
เป็นลายไทยเทพนมพุ่มข้าวบิณฑ์สีเหลืองบนพื้นขาว ดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรและพระระเบียงที่ประดับตกแต่งแล้ว
จึงวิจิตรงดงามสมบูรณ์แบบด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ
อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ดังปรากฏสืบมาถึงปัจจุบัน
ส่วนพระอุโบสถไม้ชั่วคราวหลังเดิม
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อไปสร้างเป็นพระอุโบสถวัดวิเวกวายุพัด
ตำบลคลองจิก อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวิดติวงศ์
องค์สถาปนิกผู้ออกแบบพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (มีต่อ ๑๓)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น