วัดสระเกศ ในปัจจุบัน ประวัติและความสำคัญของวัดสระเกศ วัดสระเกศ หรือ
วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณ เดิมเรียกชื่อว่า
"วัดสะแก" มามีตำนานเนื่องในพงศาวดาร
เมื่อปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ พุทธศักราช ๒๓๒๕
ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร
ตั้งอยู่แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
ดังมีข้อความปรากฏตามตำนานว่าเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแต่สมัยโบราณ
สันนิษฐานว่าจะได้สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
เดิมมีชื่อว่า
"วัดสะแก" เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นวัดสระเกศเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑
เมื่อครั้งที่ได้สร้างกรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรก
ดังมีปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า
พระประธานในพระอุโบสถวัดสระเกศ เมื่อจุลศักราช ๑๑๔๕ เบญจศก ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๒๖ นั้น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดเกล้าฯ ให้
ลงมือก่อสร้างพระนคร รวมทั้งพระบรมมหาราชวัง และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ได้รวมผู้คนให้ขุดคลองรอบเมือง ตั้งแต่บางลำพูเรื่อยไปจนจดแม่น้ำ
ด้านใต้ตอนเหนือวัดจักรวรรดิราชาวาส
แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองหลอด และขุดคลองใหญ่เหนือวัดสะแกอีกคลองหนึ่ง
พระราชทานนามว่า คลองมหานาค เพื่อให้เป็นที่สำหรับชาวพระนคร
ได้ลงประชุมเล่นเพลง และสักวา ในเทศกาลฤดูน้ำเหมือนอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา
และวัดสะแกนั้น เมื่อขุดคลองมหานาคแล้ว
จึงพระราชทานเปลี่ยนนามใหม่ว่า
"วัดสระเกศ" และทรงปฏิสังขรณ์วัดสระเกศทั้งพระอาราม
ตั้งต้นแต่พระอุโบสถตลอดถึงเสนาสนะสงฆ์ และขุดคลองรอบวัดอีกด้วย
คำว่า
"สระเกศ" นี้ตามรูปคำก็แปลว่าชำระหรือทำความสะอาดพระเกศานั่นเอง
เจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ มูลเหตุที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงพระราชทาน เปลี่ยนชื่อ
วัดสะแก เป็น
วัดสระเกศ นี้
มีหลักฐานที่ควรอ้างถึงคือพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ข้อ ๑๑ ว่า
"รับสั่งพระโองการตรัสวัดสะแกเรียกวัดสระเกศ
แล้วบูรณะปฏิสังขรณ์ เห็นควรที่ต้นทางเสด็จพระนคร" ทรงพระราชวิจารณ์ไว้ว่า
"ปฏิสังขรณ์วัดสะแก และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสระเกศ
เอามากล่าวปนกับวัดโพธิ์ เพราะเป็นต้นทางที่เสด็จเข้ามาพระนคร" มีคำเล่าๆ กันว่า เสด็จเข้าโขลนทวาร สรงพระมรุธาภิเษกตามประเพณี
กลับจากทางไกลที่ วัดสะแก จึงเปลี่ยนนามว่า
"วัดสระเกศ" เจดีย์ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในภูเขาทอง สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๖๕
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเมีย นี้
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นพระชนม์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา
สมเด็จพระพนรัตน (ด่อน) ขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช เมื่อเดือน ๔ เดือนมีนาคม ปีมะแม ในศกนั้น แต่ไม่พบสำเนาประกาศสำเนาทรงตั้ง
เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว
จึงโปรดเกล้าฯ ให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ
เช่นเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนๆ
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ สุดท้ายที่สถิต ณ วัดมหาธาตุ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๒
และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชได้ ๒ ปีเศษ ก็สิ้นรัชกาลที่ ๒
พระกรณียกิจพิเศษในปลายรัชกาลที่ ๒
สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) ได้ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจสำคัญคือทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์
ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์
ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เมื่อวันอังคาร เดือน ๘ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ตรงกับกับวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗
เมื่อทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุ ๓ วัน
แล้วเสด็จไปประทับศึกษาวิปัสสนาธุระ ณ
วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) หลังจากทรงผนวชได้เพียง ๑๕ วัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต
เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้เสด็จกลับมาประทับ ณ วัดมหาธาตุ
เพื่อทรงศึกษาภาษาบาลีต่อไป พระตำหนักอันเป็นที่ประทับของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงผนวชครั้งนั้น
คือตรงที่ปัจจุบันสร้างเป็นวิหารโพธิลังกา ซึ่งอยู่ทางมุมวัดมหาธาตุด้านทิศตะวันออก
หลังพระบวรราชานุสาวรีย์สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในบัดนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น