วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ กับจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ กับจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ

by ไพรัช ดำรงกิจถาวร on Saturday, August 14, 2010 at 1:11pm

 จาก กรณีที่คุณแม่ล้มก้นกระแทกพื้น ทำให้กระดูกข้อต่อสะโพกหัก ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแบบเต็มข้อ  หลังผ่าตัดกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราและเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา  ดูเหมือนว่าเป็นเวลาที่ผมได้เรียนรู้ถึงคำว่า "จรรยาบรรณ" ของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์บางคนเป็นอย่างดี  เดิมทีเดียวผมไม่เคยคิดว่าการกระทำที่เป็นการทุจริต  ทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกปิดความผิดของตนเองจะเกิดขึ้นในวิชาชีพนี้เหมือนกับ สังคมอื่นๆ  เมื่อเกิดเหตุขึ้นใหม่ๆ ผมเป็นคนที่อยู่ข้างหมอ อยู่ข้างโรงพยาบาล คอยรับอารมณ์ความรุนแรงจากพ่อ น้องๆ และบรรดาญาติๆทางแม่  ด้วยบุคลิกส่วนตัวผมเป็นประนีประนอม โดยให้เหตุผลว่ามันเกิดขึ้นได้ หมอเขาคงไม่ได้แกล้งหรืออยากให้แม่เป็นแบบนี้หรอก   ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับคำอธิบายให้เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุที่ไม่พึง ประสงค์นี้เลย  ได้รับคำอธิบายถึงโรคที่เกิดขึ้นภายหลังเท่านั้นว่าอาการหนักแค่ไหน  แต่ความสงสัยในใจผมก็มีเหมือนกับทุกคน  จึงคิดว่าให้ผ่านงานศพแม่ไปเสียก่อนค่อยกลับไปถามทางโรงพยาบาลและหมอที่ รักษาแม่  แต่พอถึงเวลากลับได้รับคำตอบที่ทำให้ผมยิ่งคาใจขึ้นไปอีก "ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนไข้สมองฝ่อ" เป็นคำพูดจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ

 

เมื่อผมได้รับ คำชี้แจงจากทางโรงพยาบาลแล้ว  ก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรต่อ  เพราะไม่มีความรู้ทางการแพทย์เลย ทั้งๆที่ยังคาใจ  ทำได้อย่างเดียวคือ ทำใจรับสภาพว่าแม่ได้จากพวกเราไปก่อนเวลาอันควร  แต่ก็ต้องขอบใจน้องชายผมที่ไม่ยอมแพ้  กลับเดินหน้าร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุข  จนกระทรวงฯรับเรื่องและส่งเรื่องต่อมาที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  เมื่อถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าจะให้น้องทำเรื่องนี้เพียงลำพังได้อย่างไร  ผมเองก็พอที่จะรู้เรื่องระบบราชการและการตรวจสอบ จึงเข้ามาติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอเอกสารเวชระเบียนก่อน  แต่ดูเหมือนว่าในการมาขอเวชระเบียนนี้กลับทำให้ผมมีพลังในการตรวจสอบเรื่อง มากขึ้น เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเลย  โรงพยาบาลบอกให้รอ  รอ  แล้วก็รอ  จนเวลาผ่านไป 1 เดือน 2 เดือน ผมจึงต้องออกอุบายว่า ทางบริษัทประกันชีวิตต้องการเวชระเบียนเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายที่จะต้อง จ่ายสินไหมกรณีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือไม่.......ได้ผล โรงพยาบาลได้สำเนาเวชระเบียนจำนวน 20 หน้าให้พร้อมคุณหมอศัลยแพทย์ออโธปิดิกส์ คุณหมอเจ้าของไข้ก็ได้ออกใบรับรองแพทย์ให้อีก 2 ฉบับ มีข้อความตรงกัน ใบหนึ่งส่งให้บริษัทประกันชีวิต  อีกใบหนึ่งผมเก็บเอาไว้  เนื้อหาโดยสรุปคือ เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เมื่อได้เอกสารเวชระเบียนมาแล้วปัญหาต่อไปคือ อ่านไม่เป็น ไม่เข้าใจ มันบอกอะไรบ้าง ทำให้ต้องหาคนช่วยอ่านให้  จะมีใครอ่านได้นอกจากคุณหมอท่านอื่นๆที่ไม่มีส่วนได้เสียกับเหตุการณ์นี้  ผมจึงนำเอกสารที่ได้นี้ไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขอให้คุณหมอได้ช่วยดูให้  แต่ทุกที่ที่ไป กลับไม่มีใครยินดีดูให้เลยสักที่เดียวแม้จะบอกว่ายินดีเสียค่าใช้จ่ายก็ตาม ........จะยอมแพ้หรือ "ไม่" เป็นคำถามและคำตอบในใจที่เกิดขึ้นของผม  มันมีอีกทางหนึ่งคือ ต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง  จากประสบการณ์ในการหาข้อมูลทางวิชาการเพื่อนำมาใช้ประกอบการสอนนักศึกษาของ ผม  ผมเชื่อว่าคงจะหาข้อมูลทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีแม่ของผมได้จากทาง อินเตอร์เนต  จึงมุ่งมั่นที่จะค้นข้อมูลทุกเวลาที่ว่างจากงานสอนและทุกคืนหลังอาหารเย็น  จนง่วงหลับไปกับโต๊ะทำงานที่บ้านในตอนดึก  เป็นแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน จนถึงปัจจุบัน รวมเวลาเกือบสองปีเต็ม  ผมเริ่มที่จะรู้ถึงกระบวนการทางการแพทย์บ้างแล้ว ถึงจะเพียงน้อยนิด แต่ก็เริ่มที่จะรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเอกสารที่มีอยู่ในมือ  ประกอบกับภายหลังก็ได้เวชระเบียนใหม่อีกชุดหนึ่ง  จากการติดตามทวงถามที่นานแสนนาน  ถึงจะไม่แน่ใจว่าเอกสารที่ได้มาภายหลังนั้นเป็นเอกสารที่เป็นข้อมูลจริงๆจาก การรักษาแม่ก็ตาม  ในชุดที่สองที่ได้มามีเอกสารที่ไม่มีในชุดแรกหลายรายการซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น เอกสารเวชระเบียนที่สำคัญทั้งสิ้น และก็เป็นเอกสารที่มีปัญหาจากการตรวจสอบของผมเองเป็นส่วนใหญ่  เมื่อเป็นแบบนี้ผมจะทำอย่างไรดีในเมื่อทางโรงพยาบาลและหมอไม่แสดงความรับผิด ชอบชีวิตแม่ ที่ต้องเสียไปจากการกระทำที่ตอนนี้ผมเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมแล้วว่า ทั้งประมาท เลินเล่อ ไม่ใส่ใจอย่างร้ายแรง  เรื่องที่ร้องเรียนไปที่หน่วยงานภาครัฐก็ไม่มีคำตอบ  ตอนนั้นเวลาก็ผ่านไปแล้วปีเศษ  จึงตัดสินใจฟ้องแพ่งเป็นคดีผู้บริโภค  ฟ้องคดีแพ่งเดิมไม่ได้เสียแล้วเพราะหมดอายุความ

 

เมื่อฟ้องคดี แล้ว  สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบและผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็คือ  คำให้การของจำเลย (หมอผ่าตัดเจ้าของไข้) กลับให้การต่อศาลว่า แม่ของผมเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวของแม่เอง ไม่ได้เป็นผลจากภาวะแทรกซ้อนหรือโดยตรงจากการผ่าตัด  วันที่ได้คำให้การนี้เป็นวันที่ศาลนัดพิจารณา  ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ทางกองการประกอบโรคศิลปะ ได้นัดให้ไปให้ข้อมูลการร้องเรียน  ทำไมต้องเป็นวันเดียวกันด้วยทั้งๆที่รอมาตั้งปีกว่าแล้ว  กลับมานัดตรงกับศาลนัดอีก  แต่ไม่เป็นไร  โชคดีที่ศาลท่านใช้เวลาไม่มาก  พอเสร็จจากศาลแล้วก็รีบขับรถตรงไปที่กองการประกอบโรคศิลปะทันที  โชคดีที่มาทัน  เมื่อได้เวลาก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องประชุมที่มีคณะกรรมการเต็มห้อง ผมไม่รู้ว่าใครคือใคร  มารู้ภายหลังจากสื่อต่างๆที่กำลังเสนอข่าวเรื่องร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.....และรูปของท่านเหล่านั้นในเวปไซด์หน่วยงานของท่านเอง

 

ใน การให้ข้อมูลที่กองการประกอบโรคศิลปะนี้ เป็นไปด้วยความรวดเร็ว  ถามประเด็นที่ร้องเรียน  ผมตอบ  หลายครั้งถูกตัดบทไปจึงไม่สามารถให้ข้อมูลได้อย่างเต็มที่  เมื่อเห็นเช่นนี้สุดท้ายผมจึงได้บอกกับคณะกรรมการว่า  ผมมีเวชระเบียน 2 ชุด ได้มาคนละเวลา  ในนี้มีเอกสารเท็จอยู่หลายรายการโดยเฉพาะรายงานพยาบาลที่เท็จอย่างชัดเจน  แล้วผมถามผู้ดำเนินรายการว่า ผมกลับได้หรือยัง  เขาตอบว่า "กลับได้" ทั้งๆที่ไม่พยายามซักผมเลยว่าตรงไหนบ้างที่ผมว่าเท็จ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาข้อร้องเรียน  แต่ผมก็ไม่ใส่ใจแล้ว  กลับบ้านด้วยความหดหู่  คิดไปว่าหน่วยงานภาครัฐควรจะดูแลประชาชนให้เต็มที่  เพราะเงินเดือนที่เขาเหล่านั้นได้ก็มาจากภาษีของประชาชนนั่นเอง

 

เมื่อ กลับมาถึงบ้านก็เอาคำให้การของหมอ(จำเลยในคดีผู้บริโภค) มาอ่าน  ก็ยิ่งมีอารมณ์โกรธยิ่งขึ้น คิดว่าใบรับรองแพทย์ที่เขาเองเคยออกให้นั้นมันไม่มีความหมายเลยหรือ เคยบอกว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด พอถูกฟ้องร้องก็มาให้การใหม่ว่า ไม่ได้เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเสียแล้ว  แต่กลับไปโทษแม่ โทษคนตายไปแล้วว่าเกิดจากโรคประจำตัวของแม่เอง  แล้วทำไมถึงไม่บอกและอธิบายให้ผมและญาติคนอื่นๆแบบนี้บ้างตอนเกิดเหตุ .............แล้วแบบนี้จะเชื่อข้อมูลอันไหนแน่  เมื่อคนที่ประกอบวิชาชีพที่ผมเคยนับถือมาก  นับถือแบบไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยในเรื่องจริยธรรมคุณธรรม  แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้าม  เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพแล้วไม่ต้องพูดถึง  ผมเห็นว่าการทำและประกาศใช้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ ตรงไหนเลยกับกรณีของแม่ผม  เพราะถ้าเขาเหล่านั้นพึงนำเอาจรรยาบรรณวิชาชีพมาเป็นวิถีปฏิบัติอย่างเคร่ง ครัดแล้ว  ก็คงไม่มีการดึงเวลาที่จะให้เอกสารเวชระเบียนเพื่อตรวจสอบ  คงไม่มีการทำเอกสารเวชระเบียนอันเป็นเท็จเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตนเอง  คงไม่มีการออกใบรับรองอันเป็นเท็จหรือการให้การต่อศาลอันเป็นเท็จ (เพราะจะต้องมีอย่างหนึ่งอย่างใดเท็จแน่)

 

ตอนนี้ผม มองเห็นประโยชน์ของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ฉบับนี้อย่างเต็มที่  เสียดายครับ น่าจะมีกฏหมายดีๆฉบับนี้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในกรณีของแม่ผม  ผมจะได้ไม่ต้องมารับรู้ถึงความพิกลพิการของหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบข้อ เท็จจริงจากการร้องเรียน  ไม่ต้องมารับรู้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรจากคนกลุ่มหนึ่งในวิชาชีพอัน ทรงเกียรติ เป็นเหตุให้กระทบกับความศรัทธาที่เคยมีให้แต่เดิม  ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครบ้างในสังคมไทย  แต่จากกระแสการฟ้องร้องและร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ แบบนี้  ผมคงไม่ใช่ตัวคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้

จรรยาบรรณ...มีไว้เตือนสติหรือมีไว้สร้างภาพ อยู่ที่ท่านเอง

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
http://www.etcommission.go.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น