วันนี้ (25 กันยายน 2555) เวลา 09.30 น. ณ ห้องจูปีเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาประมาณ 500 คน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นโครงการหนึ่งในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนแม่บทดังกล่าว จากการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้กำหนดให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นระบบขนส่งมวลชนสายรองประเภทรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ที่เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง และคณะกรรมการ รฟม. มีมติให้ รฟม. ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ ในรูปแบบการออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างไปพร้อมกัน(Design & Build) แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้พื้นที่ การขยายตัวของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และประชากร โดยรอบเส้นทางอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการรองรับการบังคับใช้ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครและนนทบุรีฉบับใหม่ จึงมีความจำเป็นให้มีการศึกษาทบทวนความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงออกแบบเบื้องต้น และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (เพิ่มเติม) จัดทำเอกสารประกวดราคา และจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ พ.ศ. 2535
การสัมมนาในวันนี้ มีการนำเสนอสาระสำคัญ ประกอบด้วยแนวเส้นทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ ตั้งแต่ต้นทางจากสถานีศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรีใกล้แยกแคราย ผ่านถนนติวานนท์ก่อนเลี้ยวเข้าถนนแจ้งวัฒนะ เชื่อมต่อถนนรามอินทราไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานีมีนบุรี รวมระยะทาง 34.5 กิโลเมตร โดยจากผลการศึกษาเห็นควรให้เพิ่มสถานีจากเดิมที่ สนข. เคยศึกษาไว้ 24 สถานี เป็น 30 สถานี ดังนี้
1.ศูนย์ราชการนนทบุรี
2.แคราย
3.สนามบินน้ำ
4.สามัคคี
5.กรมชลประทาน
6.ปากเกร็ด
7.เลี่ยงเมืองปากเกร็ด
8.แจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด 28
9.เมืองทองธานี
10.ศรีรัช
11.เมืองทอง 1
12.ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
13.ทีโอที
14.หลักสี่
15.ราชภัฎพระนคร
16.วงเวียนหลักสี่
17.รามอินทรา 3
18.ลาดปลาเค้า
19.รามอินทรา 31
20.มัยลาภ
21.วัชรพล
22.รามอินทรา 40
23.คู้บอน
24.รามอินทรา 83
25.วงแหวนตะวันออก
26.นพรัตนราชธานี
27.บางชัน
28.เศรษฐบุตรบำเพ็ญ
29.ตลาดมีนบุรี และ
30.มีนบุรี
นอกจากนี้ ยังนำเสนอรูปแบบของเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) เป็นแบบเส้นรัศมีและเส้นรอบวง (Radial-Circumferential Pattern)
โดยที่เส้นรัศมีซึ่งรองรับโดยระบบขนส่งมวลชนระบบหลัก จะกระจายความหนาแน่นของกิจกรรมในเมืองออกสู่พื้นที่ชานเมือง สำหรับแนวเส้นทางเส้นวงรอบซึ่งรองรับโดยระบบขนส่งมวลชนระบบรอง มีจุดมุ่งหมายที่จะกระจายความหนาแน่นของกิจกรรมเมือง และเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างเส้นรัศมีหรือระบบขนส่งมวลชนระบบหลัก ซึ่งโครงการรถไฟฟ้า
สายสีชมพู ฯ นั้น เป็นระบบรองโดยมีเป้าหมายที่จะกระจายความเจริญจากพื้นที่ส่วนกลางไปสู่ศูนย์ความเจริญรอบกรุงเทพมหานคร และเพื่อควบคุมความหนาแน่นของพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัยของประชาชนเป็นจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ กรมการกงศุล ศาลปกครอง รวมถึง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หมู่บ้านจัดสรร สถานศึกษา ศูนย์การประชุมและจัดนิทรรศการขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้มีความต้องการเดินทางสูงและมีแนวโน้มการขยายตัวของเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายสีชมพู ฯ สามารถช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรและอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางในพื้นที่ดังกล่าวได้
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ เป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อกับใจกลางกรุงเทพมหานครโดยระบบรถไฟฟ้าหลัก 4 เส้นทาง ได้แก่
โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (บริเวณทางแยกแคราย)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต (บริเวณทางแยกหลักสี่)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ (บริเวณอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ) และ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ-มีนบุรี (บริเวณทางแยกร่มเกล้า)
ทำให้เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับรูปแบบของระบบการเดินรถ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว ซึ่งเป็นระบบที่มีสมรรถนะและมีความปลอดภัยสูง สามารถขนส่งผู้โดยสาร 33,000 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง และมากกว่าได้ ซึ่งสามารถขนส่งได้เกือบเทียบเท่ากับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนขนาดหนัก ตัวรถและโครงสร้างมีขนาดเล็กและเบา ทำให้ก่อสร้างง่าย รวดเร็ว และมีมูลค่าการก่อสร้างไม่สูง มีรัศมีวงเลี้ยวของตัวรถแคบ ทำให้เวนคืนที่ดินน้อย และโครงสร้างทางวิ่งมีลักษณะโปร่ง ไม่ส่งผลกระทบกับทัศนียภาพใต้ทางยกระดับ รวมทั้งใช้ล้อยางทำให้เกิดเสียงดังน้อยกว่าระบบขนส่งมวลชนที่ใช้รางเหล็กและล้อเหล็ก
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ จะมีศูนย์ซ่อมบำรุงมีนบุรี อยู่บริเวณซอยรามคำแหง 192 บนพื้นที่กว่า 280 ไร่ โดยคำนึงถึงการออกแบบเพื่อรองรับแนวคิดการพัฒนา Transit Oriented Development (TOD) โดยให้มีการพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยหรือการค้าที่ได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้ลดการใช้รถยนต์ที่ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และอากาศเสียได้
ส่วนรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมคือ รัฐดำเนินการโดยให้ รฟม. เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด จะมีความเหมาะสมกว่าทั้งในด้านความคุ้มค่าทางการเงิน ระยะเวลาดำเนินการรวดเร็ว สามารรถเชื่อมต่อการเดินทางเดินทางหรือใช้ระบบตั๋วร่วมกับระบบอื่นได้สะดวก โดยใช้เงินกู้จากกระทรวงการคลังว่าจ้างเอกชนออกแบบ ก่อสร้างงานโยธา จัดหาและติดตั้งระบบรถไฟฟ้า ในรูปแบบ Design&Build รวมบำรุงรักษาในช่วงแรก และว่าจ้างเอกชนเป็นผู้ให้บริการเป็นระยะเวลา 5 -10 ปี โดยชำระค่าจ้างตามปริมาณการเดินรถในแต่ละปี ใช้งบประมาณการลงทุนทั้งสิ้น 54,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเมื่อเปิดให้บริการในปี 2560 และเก็บค่าโดยสาร 20 บาทจะมีปริมาณผู้โดยสารในช่วงเวลาเร่งด่วน 187,770 คน/เที่ยว/วัน และในปี 2590 จะมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 882,130 คน-เที่ยว/วัน มีปริมาณผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟฟ้า (Line Load) สูงสุดของโครงการสายสีชมพู ฯ ในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าสูงเกือบ 33,000 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง
ตามแผนดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี จะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2560 ซึ่งเมื่อโครงการ ฯ แล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น