เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้พิการทุกประเภท คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางมีมติอนุมัติให้ลดหย่อนเฉพาะค่าโดยสารครึ่งราคา ได้แก่ ผู้พิการที่มองเห็นเป็นประจักษ์หรือคนพิการที่ถือบัตรสมาชิกสมาคมทุกสมาคม ใช้บริการทุกครั้งมีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารครึ่งราคา ไม่รวมค่าธรรมเนียม โดยสามารถใช้ลดหย่อนได้ทั้งรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และรถสองแถวในซอย ทั้งนี้ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2555
ติดต่อ คุณอัจฉรา 086-6282817 หรือร่วมบริจาค ธ.กรุงไทย เลขบัญชี 031-0-03432-9 หรือ ธ.กรุงเทพ เลขบัญชี 145-5-24762-5 ชื่อบัญชีสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ต้องใช้จ่าย เดือนละ 1 แสนบาท โดยเป็นค่าใช้จ่าย ใน 3 โครงการ ที่ดูแล คนเร่ร่อนไร้บ้าน...พนักงานบริการ ...เด็กและเยาวชนในชนบทกลุ่มต่าง ๆ /"ความสำเร็จประกอบด้วยความผิดพลั้งหลายๆ ครั้งมารวมกันโดยที่ความกระตือรือร้นที่หวังจะพบกับชัยชนะนั้นยังคงอยู่" (วินสตัน เชอร์ชิลล์).
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555
กรกฏาคม 2555 ผู้พิการที่มองเห็นเป็นประจักษ์หรือคนพิการที่ถือบัตรสมาชิกสมาคมทุกสมาคม ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารครึ่งราคา ไม่รวมค่าธรรมเนียม
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้พิการทุกประเภท คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางมีมติอนุมัติให้ลดหย่อนเฉพาะค่าโดยสารครึ่งราคา ได้แก่ ผู้พิการที่มองเห็นเป็นประจักษ์หรือคนพิการที่ถือบัตรสมาชิกสมาคมทุกสมาคม ใช้บริการทุกครั้งมีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารครึ่งราคา ไม่รวมค่าธรรมเนียม โดยสามารถใช้ลดหย่อนได้ทั้งรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถโดยสารเอกชนร่วมบริการ และรถสองแถวในซอย ทั้งนี้ ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2555
วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555
Bogota Colombo เมืองต้นแบบที่ผู่ว่าเมืองใช้นโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเปิดเส้นทางจักรยานเชื่อมต่อเมืองแทนถนน
วันที่: 17 พฤษภาคม 2555, 16:46
หัวเรื่อง: : Bogota Colombo เมืองต้นแบบที่ผู่ว่าเมืองใช้นโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวและเปิดเส้นทางจักรยานเชื่อมต่อเมืองแทนถนน
ถึง:
ขออภัยถ้าบทความนี้รบกวนท่าน บังเอิญได้อ่านบทความที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาเมืองกรุงเทพ จาก icomos อาทิ เช่นการสร้างรถไฟฟ้าบนพื้นที่ย่านเก่าและเห็นว่ามีประโยชน์จึงส่งมาเพื่อพิจารณาคะ
การวางเส้นทางรถใต้ดินเพื่อเป็นทางเลือกการเดินทางเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเป็นที่ปารีส สถานีขึ้นลงที่ผ่านในย่านเก่า เขาจะทำขนาดเล็ก เพื่อให้กระทบกระเทือนภาพลักษณ์ย่านเก่าน้อยที่สุด และเวนคืนน้อยที่สุด เพราะเสน่ห์ของพื้นที่ก็คือความเก่า พูดง่ายว่าขายคุณค่าของกาลเวลา แต่การพัฒนาแบบไทยๆมักจะไม่ค่อยคำนึงเรื่องเหล่านี้ คือเน้น hardware แต่ไม่ให้คุณค่า software สถานีเราจึงเป็นอาคารสมัยใหม่ที่ขัดแย้งเพิกเฉยกับอัตลักษณ์และคุณค่าทางวัฒนธรรมย่านเก่าต้องมีขนาดใหญ่ๆเพื่องบก่อสร้างจะได้สูงๆผลประโยชน์จะได้มากๆ
บทความจากชาวชุมชนในไชน่าทาวน์ : กรณีเวนคืนที่ดิน เพื่อสร้างเป็นห้างสรรพสินค้า
ความไม่โปร่งใส และ ผลกระทบของการพัฒนาต่อชุมชนประวัติศาสตร์รอบสถานีวัดมังกรกมลาวาส
พื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ และป้อมปราบศัตรูพ่าย มีประวัติการพัฒนาพื้นที่ และตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน การตั้งถิ่นฐานของคนจีนในพื้นทีนี้นับย้อนไปได้ถึงสมัยตั้งกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวง ชุมชนจีนถูกย้ายจากพื้นที่สร้างพระบรมมหาราชวังมาอยู่บริเวณสำเพ็ง จึงนับได้ว่าประวัติการตั้งถิ่นฐานอยู่ในยุคเดียวกับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์
ถนนเจริญกรุงเป็นถนนสมัยใหม่เส้นแรกของกรุงเทพฯ โดย รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างในปี 2405 ต่อมามีการสร้างถนนเยาวราชในสมัยรัชกาลที่ 5 ในด้านประวัติศาสตร์พื้นที่นี้ไม่ได้มีคุณค่าด้อยกว่าพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์แต่ประการใด นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่าอาคารตึกแถวเก่าจำนวนมากในพื้นที่มีอายุกว่า100ปีแล้ว ถือได้ว่ามีคุณค่าทั้งด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอย่างสูง และควรได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ นอกจากนี้ยังควรได้รับการกำหนดเป็นพื้นที่อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในผังเมืองรวมด้วย ปัจจุบันพื้นที่แทบทั้งหมดถูกกำหนดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมทำให้เกิดปัญหาการพัฒนาทีอาจส่งผลกระทบต่อมรดกวัฒนธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการดัดแปลงอาคารเพื่อใช้ทำโรงแรมข้างวัดมังกรกมลาวาส
นับตั้งแต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในเดือนมกราคม 2552 ความขัดแย้งระหว่างการพัฒนาโดยการนำของกลุ่มทุนและกลุ่มการเมือง กับชาวชุมชนซึ่งเป็นผู้รักษามรดกวัฒนธรรม ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
ภายหลังการกำหนดพื้นที่ก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าวัดมังกรฯ ทางมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ซึ่งมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นประธานก็หยุดต่อสัญญาเช่าให้แก่คนในชุมชนเจริญไชย ส่วนทางสำนักงานทรัพย์สินฯก็หยุดต่อสัญญาเช่าให้แก่ชาวแปลงนามและในตลาดกรมภูธเรศ ทำให้คนเหล่านี้อยู่อย่างหวาดระแวงมาตลอดหลายปี ผู้สูงอายุหลายรายได้รับแรงกดดันจนล้มป่วย บางรายจากไปก่อนเวลาอันควร
ต่อมามีการกำหนดพื้นที่อาคารที่จะต้องถูกรื้อถอน รวม 26 ราย ในเดือนกรกฎาคม 2553 มีการลงนามระหว่าง การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และเจ้าของที่ดิน คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ เรื่องการส่งมอบพื้นที่ที่จะถูกรื้อถอนอาคารเพื่อใช้ในการก่อสร้าง มีการตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างเจ้าของที่ดินทั้งสองชื่อ บริษัท ไชน่าทาวน์ คอมมิวนิตี้ ดิเวลอปเมนท์ จำกัด เพื่อเป็นผู้ดูแลการพัฒนาทีดิน
มีข้อน่าสังเกต คือ มีการเจรจาให้การก่อสร้างสถานีเตรียม "จุดเชื่อมต่อใต้ดิน" กับที่ดินของทั้งสองเจ้าของข้างต้น เพื่อเตรียมสำหรับการก่อสร้างพืนที่การค้าในที่ดินของทั้งสองราย ตอนนี้มีแบบก่อสร้างออกมาให้เห็นกันบ้างแล้ว มีชื่อสถาปนิกผู้ออกแบบคือนายปฤษฐ ชุมสาย ณ อยุธยา บุตรชายของ ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา
นี่เป็นสาเหตุให้ต้องมีการไล่รื้อ อย่าง เร่งด่วน ให้ทันกับการก่อสร้างสถานี และให้ทันวาระการดำรงตำแหน่งของผู้ว่าฯหรือไม่ ?
ชาวชุมชนไม่ได้ต่อต้านการพัฒนา แต่เพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่วัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของย่านไชน่าทาวน์ นับได้ว่าเป็นแหล่งเดียวที่ขายอุปกรณ์เครื่องใช้ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องในพิธีกรรมของชาวจีนตั้งแต่เกิดจนตาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชาวชุมชนเจริญไชยและบริเวณใกล้เคียงได้พยายามแสดงให้สังคมได้เห็นถึงคุณค่าของชุมชนในฐานะที่เป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมของชาติ มีการรื้อฟื้นประเพณีจีนหลายอย่าง โดยเฉพาะการจัดงานไหว้พระจันทร์ มีการปรับปรุงทาสีอาคารด้วยเงินของตนเอง มีการเปิดบ้านเก่าเล่าเรื่องที่เป็นห้องกิจกรรมและพิพิธภัณฑ์ทีทำโดยชุมชนแห่งแรกและแห่งเดียวในเยาวราช มีการช่วยกันคิดข้อเสนอในการพัฒนาเพื่อรักษาพื้นที่ทางวัฒนธรรมนี้ให้เป็นจุดสนใจ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของพื้นที่ไชน่าทาวน์ทั้งหมด อย่างไรก็ตามความพยายามของชุมชนที่มีฐานะเป็นเพียงผู้เช่า ดูจะไม่ได้รับความสนใจจากทางเจ้าของที่ดินเลย
ในเดือน มีนาคม 2554 กรุงเทพมหานคร โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีมติสร้าง "ตลาดอุโมงค์ใต้ดิน" ใช้ งบประมาณในการก่อสร้าง 5,565 ล้านบาท ไม่มีกระบวนการการสอบถามความเห็นคนในพื้นที่แต่อย่างใด
ต่อมาเดือน ตุลาคม 2554 กรุงเทพมหานคร จ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาการทำ "ตลาดใต้ดิน เยาวราช-โบ๊เบ๊" ไม่มีการสอบถามความเห็นคนในพื้นที่เช่นกัน
ต่อมาเดือน มีนาคม 2555 เจ้าหน้าที่มูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ โทรศัพท์มาแจ้งว่ามูลนิธิฯต้องการขอพื้นที่ "บ้านเก่าเล่าเรื่อง" คืน หลังจากข่าวแพร่ออกไปและมีการคัดค้านของบุคคลภายนอกชุมชนผ่านสือมวลชน ทำให้กรรมการมูลนิธิฯลงมาชี้แจงกับชุมชนว่าเป็นเรื่อง "เข้าใจผิด"
ต่อมา เดือน พฤษภาคม 2555 กรุงเทพมหานครมีแนวคิดสร้าง "อุโมงค์" บริเวณถนนเจริญกรุง หน้าวัดมังกรกมลาวาส รูปแบบคล้ายอุโมงค์รัชดาฯ และจะพัฒนาพื้นที่ด้านบนเป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนได้พักผ่อน ซึ่งได้ขอพื้นที่จากสำนักงานทรัพย์สินฯและมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์แล้ว...ผู้ว่าฯกรุงเทพฯลงนามคำสั่ง "ด่วนที่สุด" แต่งตั้งคณะกรรมการ วันที่ 3 พฤษภาคม ให้เร่งศึกษาเพื่อให้สามารถก่อสร้างไปพร้อมกับรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยมี ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา กรรมการมูลนิธิฯเป็นผู้ออกแบบ ไม่มีการสอบถามความเห็นคนในพื้นที่อีกเช่นกัน
ต่อมาอีกสองวัน (15 พฤษภาคม 2555) ผู้ว่าฯ ได้ออกมาให้ข่าวเองว่าจะ "เร่งรื้อตึกเก่าในที่ดินของมูลนิธิจุมภฏ-พันธุ์ทิพย์ย่านไชน่าทาวน์หลังรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินของรฟม.เริ่มก่อสร้างแล้ว ยันเพื่อความปลอดภัยเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวถี่ยิบ...แม้ว่าจะมีบางส่วนถูกรื้อถอนเพือก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ก็มีบางส่วนอาจต้องรื้อไปพร้อม ๆ กัน"
แล้วทำไมเฉพาะเจาะจงต้องมารื้ออาคารในที่ดินของตัวเอง อาคารตึกแถวเก่าในยุคเดียวกันมีเป็นพันๆอาคาร ท่านไม่สนใจเลยหรือ หรือหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาอ้างไม่ได้
เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความพยายามที่จะกดดันชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดถึงกับพยายามใช้กฎหมายเวนคืนที่ดินเพื่อไล่ชุมชนออกไปจากพื้นที่ ในขณะที่ค่าเวนคืนก็จะตกอยู่กับเจ้าของที่ดิน ตามระเบียบในการจ่ายค่าชดเชย
ในส่วนของความพยายามล่าสุดในการสร้างอุโมงค์ ถือเป็นปัญหาที่สังคมไทยน่าจะได้ร่วมกันติดตามอย่างใกล้ชิด ประเด็นแรก คือ ทำไมจะต้องสร้างอุโมงค์จุดนี้ ถนนมีเพียง 4 ช่อง สี่แยกถัดไปมีการสร้างอุโมงค์ด้วยหรือไม่ เพราะถ้ามีการสร้างอุโมงค์เพียงแห่งเดียวก็ไม่น่าช่วยแก้ปัญหาจราจรอะไรได้เลย เพราะรถติดทุกแยกอยู่แล้ว
ประเด็นที่สองคือ ทำไมต้องสร้างเวลานี้ เกี่ยวข้องกับการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จะเป็นผู้ว่าฯอีกเพียงปีเดียวหรือไม่ จึงทำให้ต้องรีบอนุมัติให้เกิดการเวนคืนขึ้นโดยเร็ว เกี่ยวข้องกับ จุดเชื่อมต่อใต้ดิน ที่กล่าวถึงข้างต้นหรือไม่
ประเด็นที่สามคือ ที่ดินบริเวณที่จะทำเป็นของมูลนิธิฯซึ่งมีผู้ว่าฯเป็นประธาน และสำนักงานทรัพย์สินฯซึ่งทั้งคู่เป็นบริษัทร่วมทุนกันในการพัฒนาพื้นที่ของตน เท่ากับเป็นการทำโครงการของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ในที่ดินของตนหรือไม่
โปรดช่วยกันส่งเสียงเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร สำนักผังเมือง กรมศิลปากร เจ้าของที่ดิน ฯลฯ ตระหนักและเห็นคุณค่าของอาคารและชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่ก่อเกิดมานานนับร้อยปี เพราะหากเราไม่ช่วยกัน จะเกิดการไล่รื้ออาคารเก่าแก่และทำลายวิถีทางวัฒนธรรมของชุมชนเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เยาวราชจะหมดเสน่ห์ แล้วใครจะมาไชน่าทาวน์เยาวราช???
วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2555 เวลา 17.00 น. ณ ชุมชนเจริญไชย เยาวราช
จาก: PRAPASRI DUMSA-ARD <prapasri.dum@mahidol.ac.th>
วันที่: 25 กันยายน 2555, 10:49
หัวเรื่อง: ประชาสัมพันธ์กิจกรรม "งานวันไหว้พระจันทร์ประจำปี 2555"
ถึง:
เรียน ทุกท่านที่เคารพ
ชุมชนเจริญไชย (เจริญกรุง 23) เยาวราช ขอฝากประชาสัมพันธ์กิจกรรม "งานวันไหว้พระจันทร์ประจำปี 2555" ในวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน 2555 รายละเอียดตามกำหนดการด้านล่าง
กำหนดการ
15.00 น. ชมนิทรรศการใน "บ้านเก่าเล่าเรื่อง" ห้องนิทรรศการชุมชนแห่งแรกและแห่งเดียวในไชน่าทาวน์
ร่วมกิจกรรมแนะนำพื้นที่ และเดินเยี่ยมชม "ตามรอยเจริญไชย: ย่านประวัติศาสตร์ มรดกวัฒนธรรมบนถนนเจริญกรุง"
17:00 น. ตัวแทนชุมชนเจริญไชยกล่าวรายงาน
ประธานในพิธีเปิดแพรคลุมป้าย "ย่านอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ ชุมชนเจริญไชย" เพื่อนำมาติดเป็นการถาวรต่อไป
17:15 น. รับประทานอาหารว่างร่วมกัน
17.40 น. เสวนาทางวิชาการ เรื่อง "สิทธิชุมชนเมืองเก่า มรดกชุมชน มรดกชาติ" โดย
§ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยงธนิศร์ พิมลเสถียร นายกสมาคมอิโคโมสไทย
§ คุณพิมพ์ประไพ พิศาลบุตร ผู้แทนโครงการพิทักษ์มรดกสยาม สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
§ คุณภารนี สวัสดิรักษ์ เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม
§ คุณกมล มหาผล ผู้แทน บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์
ดำเนินรายการโดย ดร.ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
19:00 น. จบการเสวนา ตัวแทนชุมชนมอบของที่ระลึกจากชุมชนให้กับแขกรับเชิญ
19.19 น. เริ่มพิธีไหว้พระจันทร์ โดย ผู้อาวุโสในชุมชนนำไหว้ คณะกรรมการจัดงาน ตามด้วยแขกรับเชิญและแขกผู้มีเกียรติในงานร่วมพิธีไหว้พร้อมกับคนในชุมชน
เชิญผู้ร่วมงานเที่ยวชมบรรยากาศการไหว้พระจันทร์ของชุมชนตามอัธยาศัย
ขอบคุณค่ะ
ประภาศรี ดำสอาด
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล
โทร. 02-800-2344
หมายเหตุ: หากอีเมล์ฉบับนี้เป็นการรบกวนท่าน สถาบันฯ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
*****************************
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี
วันนี้ (25 กันยายน 2555) เวลา 09.30 น. ณ ห้องจูปีเตอร์ ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นประชาชน โครงการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรอิสระและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาประมาณ 500 คน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นโครงการหนึ่งในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนแม่บทดังกล่าว จากการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้กำหนดให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เป็นระบบขนส่งมวลชนสายรองประเภทรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ที่เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง และคณะกรรมการ รฟม. มีมติให้ รฟม. ดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ ในรูปแบบการออกแบบรายละเอียดและก่อสร้างไปพร้อมกัน(Design & Build) แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้พื้นที่ การขยายตัวของสภาพเศรษฐกิจ สังคม และประชากร โดยรอบเส้นทางอย่างรวดเร็ว และเพื่อเป็นการรองรับการบังคับใช้ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครและนนทบุรีฉบับใหม่ จึงมีความจำเป็นให้มีการศึกษาทบทวนความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงออกแบบเบื้องต้น และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (เพิ่มเติม) จัดทำเอกสารประกวดราคา และจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ พ.ศ. 2535
การสัมมนาในวันนี้ มีการนำเสนอสาระสำคัญ ประกอบด้วยแนวเส้นทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ ตั้งแต่ต้นทางจากสถานีศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรีใกล้แยกแคราย ผ่านถนนติวานนท์ก่อนเลี้ยวเข้าถนนแจ้งวัฒนะ เชื่อมต่อถนนรามอินทราไปสิ้นสุดปลายทางที่สถานีมีนบุรี รวมระยะทาง 34.5 กิโลเมตร โดยจากผลการศึกษาเห็นควรให้เพิ่มสถานีจากเดิมที่ สนข. เคยศึกษาไว้ 24 สถานี เป็น 30 สถานี ดังนี้
1.ศูนย์ราชการนนทบุรี
2.แคราย
3.สนามบินน้ำ
4.สามัคคี
5.กรมชลประทาน
6.ปากเกร็ด
7.เลี่ยงเมืองปากเกร็ด
8.แจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด 28
9.เมืองทองธานี
10.ศรีรัช
11.เมืองทอง 1
12.ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
13.ทีโอที
14.หลักสี่
15.ราชภัฎพระนคร
16.วงเวียนหลักสี่
17.รามอินทรา 3
18.ลาดปลาเค้า
19.รามอินทรา 31
20.มัยลาภ
21.วัชรพล
22.รามอินทรา 40
23.คู้บอน
24.รามอินทรา 83
25.วงแหวนตะวันออก
26.นพรัตนราชธานี
27.บางชัน
28.เศรษฐบุตรบำเพ็ญ
29.ตลาดมีนบุรี และ
30.มีนบุรี
นอกจากนี้ ยังนำเสนอรูปแบบของเส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP) เป็นแบบเส้นรัศมีและเส้นรอบวง (Radial-Circumferential Pattern)
โดยที่เส้นรัศมีซึ่งรองรับโดยระบบขนส่งมวลชนระบบหลัก จะกระจายความหนาแน่นของกิจกรรมในเมืองออกสู่พื้นที่ชานเมือง สำหรับแนวเส้นทางเส้นวงรอบซึ่งรองรับโดยระบบขนส่งมวลชนระบบรอง มีจุดมุ่งหมายที่จะกระจายความหนาแน่นของกิจกรรมเมือง และเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างเส้นรัศมีหรือระบบขนส่งมวลชนระบบหลัก ซึ่งโครงการรถไฟฟ้า
สายสีชมพู ฯ นั้น เป็นระบบรองโดยมีเป้าหมายที่จะกระจายความเจริญจากพื้นที่ส่วนกลางไปสู่ศูนย์ความเจริญรอบกรุงเทพมหานคร และเพื่อควบคุมความหนาแน่นของพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถานที่ทำงานและที่อยู่อาศัยของประชาชนเป็นจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ฯ กรมการกงศุล ศาลปกครอง รวมถึง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หมู่บ้านจัดสรร สถานศึกษา ศูนย์การประชุมและจัดนิทรรศการขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้มีความต้องการเดินทางสูงและมีแนวโน้มการขยายตัวของเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายสีชมพู ฯ สามารถช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรและอำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางในพื้นที่ดังกล่าวได้
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ฯ เป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมต่อกับใจกลางกรุงเทพมหานครโดยระบบรถไฟฟ้าหลัก 4 เส้นทาง ได้แก่
โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (บริเวณทางแยกแคราย)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต (บริเวณทางแยกหลักสี่)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ (บริเวณอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ) และ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ-มีนบุรี (บริเวณทางแยกร่มเกล้า)
ทำให้เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับรูปแบบของระบบการเดินรถ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว ซึ่งเป็นระบบที่มีสมรรถนะและมีความปลอดภัยสูง สามารถขนส่งผู้โดยสาร 33,000 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง และมากกว่าได้ ซึ่งสามารถขนส่งได้เกือบเทียบเท่ากับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนขนาดหนัก ตัวรถและโครงสร้างมีขนาดเล็กและเบา ทำให้ก่อสร้างง่าย รวดเร็ว และมีมูลค่าการก่อสร้างไม่สูง มีรัศมีวงเลี้ยวของตัวรถแคบ ทำให้เวนคืนที่ดินน้อย และโครงสร้างทางวิ่งมีลักษณะโปร่ง ไม่ส่งผลกระทบกับทัศนียภาพใต้ทางยกระดับ รวมทั้งใช้ล้อยางทำให้เกิดเสียงดังน้อยกว่าระบบขนส่งมวลชนที่ใช้รางเหล็กและล้อเหล็ก
โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ จะมีศูนย์ซ่อมบำรุงมีนบุรี อยู่บริเวณซอยรามคำแหง 192 บนพื้นที่กว่า 280 ไร่ โดยคำนึงถึงการออกแบบเพื่อรองรับแนวคิดการพัฒนา Transit Oriented Development (TOD) โดยให้มีการพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยหรือการค้าที่ได้รับการออกแบบเพื่อเพิ่มการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้ลดการใช้รถยนต์ที่ก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และอากาศเสียได้
ส่วนรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมคือ รัฐดำเนินการโดยให้ รฟม. เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด จะมีความเหมาะสมกว่าทั้งในด้านความคุ้มค่าทางการเงิน ระยะเวลาดำเนินการรวดเร็ว สามารรถเชื่อมต่อการเดินทางเดินทางหรือใช้ระบบตั๋วร่วมกับระบบอื่นได้สะดวก โดยใช้เงินกู้จากกระทรวงการคลังว่าจ้างเอกชนออกแบบ ก่อสร้างงานโยธา จัดหาและติดตั้งระบบรถไฟฟ้า ในรูปแบบ Design&Build รวมบำรุงรักษาในช่วงแรก และว่าจ้างเอกชนเป็นผู้ให้บริการเป็นระยะเวลา 5 -10 ปี โดยชำระค่าจ้างตามปริมาณการเดินรถในแต่ละปี ใช้งบประมาณการลงทุนทั้งสิ้น 54,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าเมื่อเปิดให้บริการในปี 2560 และเก็บค่าโดยสาร 20 บาทจะมีปริมาณผู้โดยสารในช่วงเวลาเร่งด่วน 187,770 คน/เที่ยว/วัน และในปี 2590 จะมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 882,130 คน-เที่ยว/วัน มีปริมาณผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟฟ้า (Line Load) สูงสุดของโครงการสายสีชมพู ฯ ในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าสูงเกือบ 33,000 คน/ชั่วโมง/ทิศทาง
ตามแผนดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี จะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปี 2560 ซึ่งเมื่อโครงการ ฯ แล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางราง ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555
คุณรู้ไหม ! ดัชนี 10 เรื่องชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนของอังกฤษมีอะไรบ้าง ?
คุณรู้ไหม !
ดัชนี 10 เรื่องชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนของอังกฤษมีอะไรบ้าง ?
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:30:22 น.
| เปิดหน้าต่างมองโลก/ ซีพีอีนิวส์
เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหารและกิจการชนบทของอังกฤษ (Defra) ได้วางแผนจัดทำเครื่องชี้วัดการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยในเบื้องต้นได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากชาวอังกฤษซึ่งความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่ได้รับมาจากส่วนท้องถิ่น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348487433&grpid=03&catid=19&subcatid=1904 |
ตามไปดูว่าจังหวัดไหนค่าแรงเฉลี่ยต่ำสุด-สูงสุด! และเหตุไฉน? ค่าจ้าง 300 บาท ถึงทำธุรกิจ SME พัง
ตามไปดูว่าจังหวัดไหนค่าแรงเฉลี่ยต่ำสุด-สูงสุด! และเหตุไฉน? ค่าจ้าง 300 บาท ถึงทำธุรกิจ SME พัง
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 19:30:30 น.
วันที่ 24 ก.ย. ศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPURC) เปิดเผยผลการศึกษาเพื่อคาดการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ว่า จากการวิเคราะห์การกระจายตัวของค่าแรงของแรงงานที่เป็นเยาวชนของไทย พบว่า มีสัดส่วนประมาณ 73% ถึง 77% ของค่าแรงของแรงงานที่เป็นผู้ใหญ่ ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับเกณฑ์ที่ได้จากผลการศึกษาในต่างประเทศ
เมื่อนำลักษณะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของพื้นที่และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่มาพิจาณาด้วยแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจังหวัดนราธิวาส และปัตตานี อาจจะไม่รุนแรงมากไปกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากนัก
คลิกอ่าน ผลวิจัยเผย 5 จังหวัดต่อไปนี้ ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทำธุรกิจ SME พัง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348481555&grpid=03&catid=05&subcatid=0501 |
วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
Suwimol Ch added you to her circles and invited you to join Google+
Google+ makes sharing on the web more like sharing in real life.
|
You received this message because Suwimol Ch invited ablog1951.sunnews@blogger.com to join Google+. Unsubscribe from these emails. |
วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555
ข้อคิดเห็นและข้อแนะนำต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติ
เช่น การสร้างวัดในโครงการของสำนักงานคุมประพฤติปีนี้ คือสร้างวัดธรรมสถิต ถ้าผู้หญิงทำงานหนักไม่ได้ ก็อาจจะทำครัวหรือเสิร์ฟน้ำ เจ้าหน้าที่ต้องมีมุมมองเท่าเทียมชายหญิง
วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
แอนดรูว์ เอ็ม. มาร์แชล: “Uneducate people” (คน “ไม่มี” การศึกษา)
แอนดรูว์ เอ็ม. มาร์แชล: "Uneducate people" (คน "ไม่มี" การศึกษา)
แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล
แปลโดย Zenrei L. Kenmeisensai
ระหว่างที่กำลังเกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย เพื่อนนักข่าวรอยเตอร์ของผมคนหนึ่งได้เก็บภาพที่น่าขบขันและเศร้าไปพร้อมๆกันภาพหนึ่งเอาไว้ได้ในวันที่ 22 เมษายน เป็นภาพของกลุ่มผู้ชุมนุมที่มาจากกลุ่มที่เรียกกันว่า "กลุ่มคนเสื้อหลากสี" ที่กำลังแสดงความไม่พอใจกลุ่มผู้ชุมุนุม "เสื้อแดง" ที่ปักหลักอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน
ที่มาภาพ: Vivek Prakash/REUTERS
ชายในกลุ่มผู้ชุมนุมคนหนึ่งได้ชูป้ายที่เขียนขึ้นอย่างบรรจงด้วยปากกาหมึกสีน้ำเงินเป็นภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิ คาดว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านการสื่อสารแก่สื่อมวลชนต่างชาติ โดยเนื้อหาเป็นการโจมตีฝ่ายเสื้อแดง –ซึ่งส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดเป็นประชากรคนจนในเมืองและชนบทของประเทศไทย- ว่าเป็นพวก "uneducate people"
ภาพดังกล่าวถูกมองด้วยความขบขันโดยชาวต่างชาติ เนื่องจากคำว่า "uneducate people" ไม่มีความหมายในภาษาอังกฤษ คำที่ถูกต้องควรเป็นคำว่า "uneducated people" ซึ่งแปลว่า "คนไม่มีการศึกษา" ที่ถูกหลักไวยากรณ์
ความพยายามอย่างทุลักทุเลใน การที่จะขับไล่ไสส่งประชากรรายได้ต่ำของประเทศไทยว่าเป็นพวกปัญญาอ่อนนั้น ไม่ใช่การดูถูกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นหรือเกิดเป็นกรณีแยกเดี่ยวออกมา หากแต่เป็นหัวใจของปรัชญาของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเป็นศูนย์กลางของความเชื่อทางการเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยม (Royalists) หรืออีกชื่อคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสื้อเหลือง (PAD) ที่ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์แบบไม่ค่อยลงรอย ร่วมกันล้มรัฐบาลและทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกลายเป็นผู้ต้องหา
ข้ออ้างของพวกเขาก็คือคนไทยนั้นยังไม่พร้อมสำหรับระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะในเขตชนบท พวกเขาว่าเครือข่ายอุปถัมภ์และการโกงเลือกตั้งเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป และคนชนบทไม่รู้อะไรมากไปกว่าการขายเสียงของตนให้กับผู้ที่ให้ราคาสูงสุด ซึ่งนี่หมายถึงฝ่ายประชานิยมและนักการเมืองที่ดีแต่พูดสามารถยึดฐานอำนาจ ผ่านทางกล่องคะแนนเสียงเลือกตั้งได้โดยการหลอกและให้สินบนแก่คนจน และก็ช่วยกันพาประเทศลงเหวโดยการทำแต่สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตัวเองและ พรรคพวก โดยมีค่าใช้จ่ายก็คือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้น ตามที่ข้ออ้างของพวกเขาได้กล่าวต่อไปคือ มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องให้กลุ่มชนชั้นกลางและชั้นสูงของกรุงเทพที่ เป็นผู้มีความรู้ กลุ่มตุลาการศาล อำมาตย์ ทหารยศสูง และเหนือสิ่งอื่นใด ราชวงศ์ เป็นผู้ปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตย และขัดขวางเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่เจริญน้อยกว่าทำสิ่งผิด พลาดที่เลวร้ายด้วยการถูกชักจูงให้ลงคะแนนให้กับคนที่ไม่เหมาะสม ประชาธิปไตยแบบตะวันตกนั้นไม่เหมาะสมกับประเทศไทย –อย่างน้อยก็ในตอนนี้- และในขณะนี้กลุ่มชนชั้นสูงที่มีจริยธรรมและมีการศึกษา จะต้องเป็นผู้ที่ขับเคลื่อนพวกโง่เง่าเต่าตุ่นบ้านนอกด้วยการชี้นำที่แข็งแรงแต่เต็มไปด้วยกุศลธรรม
ดังที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำการปฏิวัติในปี 2549 ได้กล่าวในการสัมภาษณ์หลังการยึดอำนาจไม่นานว่า
ผมเห็นว่าประชาชนไทยยังขาดความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับประชาธิปไตย ประชาชนจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเอง บางคนยังไม่รู้ถึงระเบียบวินัยเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทำให้ประชาชนเข้าใจถึงกฏของ ประชาธิปไตย
แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับผู้ที่อยู่ เบื้องหลังของการปฏิวัติ ว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน นโยบายของรัฐบาลที่ได้รับการหนุนหลังจากทหารถูกเห็นทั่วกันว่าเป็นหายนะ เมื่อการเลือกตั้งได้ถูกจัดตั้งขึ้นอีกครั้งในเดือนธันวาคม ปี 2550 พวกพลังประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของทักษิณ ได้รับชัยชนะ มีจำนวนเก้าอี้สูงสุดในสภาและก่อตั้งรัฐบาลร่วม เพียงเพื่อผู้ที่ได้รับเลือกตามระบอบประชาธิปไตย ต้องถูกล้มอีกครั้งโดยกลุ่มชนชั้นสูงของประเทศ คราวนี้ด้วยแรงผสมผสานระหว่างอำนาจตุลาการและกฎหมู่ของกลุ่มม็อบ กลุ่มเสื้อเหลืองเข้ายึดสถานที่ราชการต่างๆ บังคับให้กลุ่มคณะบริหารที่ได้รับเลือกตั้งมาต้องไปอยู่ในออฟฟิศชั่วคราว ซึ่งทำให้การบริหารประเทศนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย นายกรัฐมนตรีนาย สมัคร สุนทรเวช ได้ถูกบังคับให้ลงจากเก้าอี้หลังจากผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่านายสมัครขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้รับค่าจ้างจากการไปออกรายการทำอาหารทางโทรทัศน์ชื่อ "ชิมไปบ่นไป" สามเดือนต่อมาหลังจากที่กลุ่มเสื้อเหลืองได้ปิดสนามบินซึ่งส่งผลกระทบต่อ เศรษฐกิจของไทยและภาพลักษณ์ต่อต่างชาติเป็นอย่างมาก ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินอีกครั้งให้ยุบพรรคพลังประชาชน และหลังจากการต่อรองข้อเสนอกันอย่างดุเดือดในค่ายทหาร ฝ่ายค้านก็ได้รวมหัวกันเป็นกลุ่มรัฐบาลร่วมปัจจุบันโดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในที่สุด รัฐบาลของประเทศไทยก็ได้มาอยู่ในมือของสมาชิกกลุ่มชนชั้นสูงที่มีความน่า เชื่อถือด้านการศึกษาสมบูรณ์แบบ อภิสิทธิ์นั้นสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยชนชั้นสูงของอังกฤษคือวิทยาลัยอีตันและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเขา กรณ์ จาติกวาณิช ก็สำเร็จการศึกษาจากออกซ์ฟอร์ดเช่นเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตาม พวกไร้การศึกษาบ้านนอกยากจนก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ว่าอะไรดีสำหรับพวกเขา วิกฤติในประเทศไทยได้เกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคมเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงที่ นิยมทักษิณได้เริ่มการประท้วงรัฐบาลขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยสื่อในประเทศ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนเกือบทั้งหมด อยู่ในอาการตกใจ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ขึ้นพาดหัวว่า "รุ่งสางแห่งแดงเดือด" (Red Rage Rising) "กลุ่มคนชนบทมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง"
กลุ่มผู้ชุมนุม ได้เข้ายึดพื้นที่ที่เป็นที่นิยมสูงสุดของกลุ่มชนชั้นสูงกระเป๋าหนัก ตั้งค่ายมีรั้วกั้นเป็นป้อมปราการตามโรงแรมและห้างสรรพสินค้าสุดหรูบริเวณ สี่แยกราชประสงค์ เมื่อทหารได้ขับไล่พวกเขาออกไปในกลางเดือนพฤษภาคม การต่อสู้ได้คร่าชีวิตพลเรือน 90 คนและบาดเจ็บนับร้อย สิ่งก่อสร้างหลายแห่งถูกวางเพลิงโดยนักวางเพลิงที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และเศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักอีกครั้ง ในการตามล่าในเวลาต่อมา ผู้นำกลุ่มเสื้อแดงได้ถูกจำคุก ซึ่งตรงข้ามอย่างชัดเจนกับผู้นำกลุ่มเสื้อเหลืองยึดสนามบินที่มีอิสรภาพเต็ม รูปแบบ และ –ในกรณีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศนายกษิต ภิรมย์- เป็นถึงคนสำคัญในรัฐบาล เสียงที่ไม่พอใจได้ถูกทำให้เงียบไป ด้วยการเซนเซอร์ทุกความเห็นที่เป็นการต่อต้านรัฐบาล เว็บไซต์หลายหมื่นแห่งถูกปิดกั้น และสถานีวิทยุตามชนบทได้ถูกสั่งปิด พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินยังถูกบังคับใช้ในหลายจังหวัดรวมถึงกรุงเทพ อันเนื่องมาจากอำนาจอันกว้างขวางของนายอภิสิทธิ์ที่จะสั่งการและทำลายล้าง ฝั่งตรงข้ามของตน
สำหรับผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล เหตุการณ์อันน่าสลดในปี 2553 ได้ยืนยันฝันร้ายที่สุดของพวกเขาเกี่ยวกับความโง่เง่าและความหูเบาของคนส่วน ใหญ่ของประเทศ พวกเขาชี้ว่าคนเสื้อแดงทั่วไปที่เข้ายึดกรุงเทพนั้นถูกจ้างมา อย่างน้อยบางส่วนก็มาจากเงินในประเป๋าของทักษิณ นอกจากนี้ คนเสื้อแดงจนๆหลายคนยังถูกบอกอีกว่า ถ้าทักษิณกลับมา หนี้ของพวกเขาก็จะได้รับการยกเว้น และการวางเพลิงในวันที่ 19 พฤษภาคม ก็เป็นการยืนยันว่า "พวกบ้านนอก" ไร้อารยธรรมและอันตรายแค่ไหน ทำให้พวกเขายิ่งเชื่อขึ้นไปอีกว่า ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาลชนชั้นสูงที่แข็งแรงพอจะโค่นทักษิณ ป้องกันระบบศักดินาที่มีอยู่ และนำประเทศกลับสู่ความเป็นสยามเมืองยิ้มสังคมปรองดองโดยให้ทุกคนสำเหนียกว่าตนอยู่ระดับไหนของสังคม
แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลุ่มผู้สนับสนุนจนๆของทักษิณนั้น ขาดความเข้าใจและง่ายที่จะติดสินบนให้เลือกผู้นำที่จะไม่นำประโยชน์ใดๆมาให้เลย แอนดรูว วอล์คเกอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ผู้ซึ่งเป็นคนทำบล็อค New Mandala กับ นิโคลัส ฟาเรลลี่ ได้เขียนบทความวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการลงคะแนนในชนบทไว้ว่า
นักวิจารณ์การเมืองหลายคนได้ยินยันว่าประชากรไทยนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรชนบท ขาดคุณลักษณะขั้นพื้นฐานสำหรับการเป็นพลเมืองประชาธิปไตยสมัยใหม่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความไร้ประสิทธิภาพของประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งนั้นมี อยู่สามปัจจัยหลักคือ อันดับแรก ผู้ลงคะแนนมักจะไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมือง ขาดความรู้สึกถึงผลประโยชน์ของชาติและพวกเขาจะลงคะแนนให้กับใครก็ได้ที่นำ ประโยชน์มาให้ในทันที อันดับสอง สืบเนื่องมาจากความยากจนและไร้การศึกษา พวกเขาจึงถูกชักจูงได้ง่ายด้วยอำนาจของเงิน การซื้อเสียงเป็นสิ่งที่เห็นได้โดยทั่วไป เงินส่งที่แจกจ่ายโดยผู้ลงรับสมัครเลือกตั้ง ผ่านทางเครือข่ายและหัวคะแนน เป็นกุญแจสำคัญในการรักษาฐานเสียงและซื้อความซื่อสัตย์ของผู้ลงคะแนน และอันดับสาม การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นนั้นเคลื่อนไหวผ่านทางระบบอุปถัมภ์ที่ซึ่งผู้มี อิทธิพลในท้องถิ่นจะนำกลุ่มผู้ลงคะแนนในท้องถิ่นนั้นๆไปลงคะแนนให้กับผู้ที่ เป็นหัวหน้าทางการเมือง
แต่ว่า วอล์คเกอร์ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับหมู่บ้าน บ้านเตี๊ยม (ต้นฉบับคือ Ban Tiemผมไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อไทยนี้หรือไม่ –ผู้แปล) ซึ่งอยู่ห่างจากเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมงหากเดินทางโดยรถยนต์ ว่าคนชนบทอาจไม่เข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของระบอบประชาธิปไตย แต่พวกเขามีความสามารถเกินพอ ในการที่จะตัดสินใจเลือกพรรคที่พวกเขารู้สึกว่าจะทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น มากที่สุด
จากมุมมองของรัฐธรรมนูญชนบทแบบบ้านเตี๊ยม รัฐบาลทักษิณได้รับการเลือกตั้งเพราะประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าผู้แทนและนโยบาย ของพรรคไทยรักไทยนั้นตรงกับสิ่งที่เขาคิดว่าควรเป็นผู้นำทางเมืองมากที่สุด หลายครั้งที่คุณสมบัตินั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆแล้ว ไทยรักไทยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุด ความคิดในการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งแบบนี้ถูกซัดหายไปพร้อมกับคลื่นการประท้วงในเมืองซึ่งต่อมาส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งที่ถูกเตะตัดขาในเดือนเมษายน 2549 และการประท้วงในเดือนกันยายน 2549 กลุ่มผู้สนับสนุนการปฏิวัติและนักเล่นแร่แปรธาตุรัฐธรรมนูญได้พยายามค้นหาทางที่จะทำให้การสนับสนุนทางการเมืองของผู้ที่ชื่นชอบทักษิณเป็นเรื่องที่ผิดโดยกล่าวหาว่าความชอบต่างๆนั้นเกิดขึ้นจากเงินที่แจกจ่ายให้กับพวกคนชนบท ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว การลบคุณค่าทุกเมื่อเชื่อวันของการเมืองในกลุ่มชนบทแบบนี้เป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยของไทยที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญของปี 2540 เสียอีก
จากการศึกษาของวอล์คเกอร์ยิ่งชี้ให้เห็นถึงชุดที่น่าจะเห็นได้ชัดเจนกับคนที่คิดแม้เพียงสักเล็กน้อยเกี่ยวกับประเด็นนี้ ว่าไม่ว่าใครจะคิดยังไงกับทักษิณ ชินวัตร (และความเห็นของผม อยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ รัฐบาลไทยรักไทยของเขาได้พยายามรับฟังว่าสิ่งที่ประชาชนชนบทต้องการคืออะไร และได้ประยุกต์ใช้นโยบายที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเหล่านั้น เป็นเหตุผลในตัวของมันเองที่ว่าทำไมคนชนบทถึงเลือกสนับสนุนทักษิณ และนี่ไม่ใช่สัญญาณของความโง่เขลา จริงๆเป็นในทางตรงข้ามด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทนั้นมักจะได้รับอิทธิพลจากปัญหาในท้องถิ่นและตัวบุคคลต่างๆ แต่จะมีทางอื่นใดให้พวกเขาตัดสินอีกล่ะว่าใครที่พวกเขาควรจะลงคะแนนให้? ก่อนที่ทักษิณจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองไทยเมื่อ 10 ปีก่อน พรรคการเมืองในประเทศไทยไม่เคยมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ว่าจะในเมืองหรือชนบท จนเหรือรวย มีการศึกษาหรือไม่มี ได้แต่ลงคะแนนโดยมีข้อมูลเพียงน้อยนิด
ผู้ที่คัดค้านทักษิณได้ชี้ไปที่การคอรัปชั่นและความโลภที่ปฏิเสธไม่ได้ของเขา ว่าเป็นหลักฐานที่ชี้ว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทนั้น ลงคะแนนอย่างไม่ฉลาด แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาหลงประเด็น ดังที่ เจมส์ สเต๊นท์ ได้บันทึกลงใน "วิเคราะห์วิกฤติประเทศไทย" ของเขาดังนี้
เพื่อนในกรุงเทพของผม[พูดว่า]ทักษิณได้รับเลือกตั้งมาเพียงเพราะว่าความร่ำรวยของเขา และผู้ลงคะแนนนั้นรับสินบน จากประสบการณ์ของผมเองในบ้านต้นทีในจังหวัดเชียงราย (ต้นฉบับคือ Ban Ton Thi ผมไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อไทยนี้หรือไม่ –ผู้แปล) ผมรู้ว่าพรรคไทยรักไทยของทักษิณนั้นได้จ่ายเงิน 500 บาทเพื่อซื้อคะแนนเสียงจริง แต่หลังจากที่ได้สนทนากับคนในหมู่บ้าน เป็นที่เห็นได้ชัดว่าคนในหมู่บ้านเหล่านี้นั้นชอบในสิ่งที่ทักษิณได้พวกเขา จากใจจริง และรู้สึกว่าเขาเป็นนักการเมืองคนแรกที่พูดคุยกับพวกเขาเรื่องคุณภาพชีวิต ของพวกเขา และทำตามที่ตัวเองได้ให้สัญญาไว้
เมื่อผมถามชาวบ้านว่า แล้วถ้าเกิดว่าทักษิณไม่ได้เป็นคนโกงกินล่ะ ผมก็ได้รับคำตอบกึ่งขบขันกลับมาเหมือนๆกันว่า "แน่นอน เขาโกงกิน นักการเมืองทุกคนโกงกินทั้งนั้น แต่นี่เป็นนักการเมืองโกงกินคนแรกที่ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเรา" จนถึงทุกวันนี้ การคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจในทางที่ผิด และความร่ำรวยส่วนบุคคลของทักษิณก็ยังเป็นที่พูดถึงกันในกลุ่มผู้สนับสนุนชาวชนบท – ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ถูกจัดให้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
นอกจากนี้ ทุกพรรคก็ใช้การซื้อเสียงและระบบอุปถัมภ์ และนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนชาวชนบทจะไม่สามารถลงคะแนนอย่างมีความรับผิดชอบให้กับพรรคที่นำเสนอการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาธงชัย วินิจจะกูลศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ได้กล่าวอย่างเชือดเฉือนถึงความลำเอียงอย่างไม่เป็นธรรมต่อชาวชนบทของกลุ่ม คนกรุงเทพในการศึกษาปี 2551 ของเขาที่ชื่อว่า "ล้มประชาธิปไตย" เอาไว้ดังนี้
ข้อกล่าวหาโดยทั่วไปมักจะไปตกอยู่กับกลุ่มผู้ลงคะแนนที่ได้รับการศึกษาน้อยและมีฐานะยากจน โดยเฉพาะในเขตชนบท ซึ่งจะถูกกล่าวหาว่าขายคะแนนเสียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ระยะสั้นและเงิน เพียงน้อยนิด กล่าวกันว่าพวกเขาขาดความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ขาดซึ่งจริยธรรมที่ดีเพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่มีข้อมูลใดๆสำหรับ การตัดสินเพราะพวกเขาไร้การศึกษา พวกเขาถูกจัดให้เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนทำให้ระบอบประชาธิปไตยล้มเหลว แคมเปญโฆษณาเชิงให้ความรู้ต่อต้านการซื้อสียงส่วนมากก็มีกลุ่มเป้าหมายเป็น ประชากรชนบทและคนจนในชุมชนเมือง พวกเขาถูกจัดว่าติดโรคร้าย ในขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองติดเชื้อน้อยกว่าหรือปลอดโรค กลุ่มหลังเป็นกลุ่มคนที่เป็นฮีโร่ของระบอบประชาธิปไตยที่ซึ่งหน้าที่คือทำ การเมืองให้สะอาด แน่นอนว่าวาทกรรมเรื่องการซื้อเสียงนั้นไม่ได้เป็นการกล่าวหาอย่างลอยๆ และก็มีกลุ่มคนที่ไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากผลประโยชน์ระยะสั้นและเงินน้อยนิดอยู่จริง แต่วาทกรรมนี้เป็นการกล่าวแบบเหมารวมที่น่ารังเกียจโดยกลุ่มชนชั้นกลางที่มี อคติต่อกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีการเลือกตั้งแบบจังหวัด
ธงชัยได้บันทึกต่อว่า "ประชาชนชนบทนั้นได้รับข้อมูลข่าวสารและเข้าใจถึงประโยชน์ที่ตัวเองควรจะได้รับเหมือนกับคนเมือง" และการทึกทักเอาเองว่าตัวเองเหนือกว่าของกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพนั้นเป็นสัญญาณให้เห็นชัดเจนถึงความไม่รู้ของพวกเขา
ชนชั้นกลางในเมืองโดยทั่วไปแล้ว ขาดข้อมูลข่าวสารและไม่รู้เรื่องรู้ราว อคติของพวกเขานั้นได้ขโมยเอาโอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับกลุ่มคนชนบทไป
จึงทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้เชื่อว่า กระบวนทัศน์ที่มองว่าการปฏิวัติในปี 2549 เป็นเรื่องที่ถูกต้อง การขัดขวางโดยระบบยุติธรรมในปี 2551 และโครงการต่างๆที่ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบดขยี้กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นบกพร่องตั้งแต่เริ่มต้น
หลายคนในกลุ่มชนชั้นกลางและสูงของกรุงเทพได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการที่จะจับใจความว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศของตนเอง ความไร้ความสามารถของพวกเขาที่จะเข้าใจว่ากลุ่มคนจนอาจเข้าใจระบอบประชาธิปไตยบางส่วนและอาจต้องการที่จะเห็นประเทศไทยที่เสมอภาคกันมากขึ้นจากใจจริงนั้น ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อว่ากลุ่มคนที่สนับสนุนคนเสื้อแดง ทำเพราะว่าพวกเขาถูกซื้อหรือถูกหลอกโดยทักษิณและ ผู้นำ "ก่อการร้าย" เสื้อแดงคนอื่นๆ และหัวเราะเยาะคนจนว่าเป็นพวกไร้การศึกษาโง่เง่าเต่าตุ่น พวกเขายังได้คร่ำครวญเกี่ยวกับความโง่เขลาของสื่อต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ ที่ไม่เข้าใจว่าการตั้งอยู่ของกลุ่มคนชั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนการคงอยู่ของสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นคนดี/พระเอกของเรื่องนี้ และตัวร้ายก็คือทักษิณที่เป็นคนปลุกปั่นกลุ่มคนและจ่ายเงินให้กับพวกเขา เพื่อทำลายประเทศของตนเอง
ตัวอย่างหนึ่งของมุมมองนี้คือ บทความในเดือนเมษายนชิ้นนี้ ในหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่นซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนชนชั้นสูง พาดหัวว่า "พวกเขารู้กันจริงๆรึเปล่าว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่นี่?"
บทบาทของผู้ต้องหา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในฐานะของผู้ร้ายหลัก นั้นได้รับการกล่าวถึงน้อยมากในสังคมและสื่อต่างชาติ เป็นที่เห็นได้ชัดว่า มันเกินจินตนาการของพวกเขาที่จะเข้าใจว่าคนๆหนึ่งสามารถเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่เชื่อฟังและความกระด้างกระเดื่องในกลุ่มประชาชนได้มากขนาดนี้ แต่นี่แหละคือจุดสำคัญ [เพราะ] ทักษิณได้ส่งเงินของเขาผ่านทางภรรยาที่หย่าขาดจากกันแล้วและสมุนทั้ง หลาย เพื่อสนับสนุนการประท้วง
นักเขียนนิยายลึกลับและนักแต่งเพลง สมเถาว์ สุจริตกุล ได้เข้ามาร่วมในการโต้วาทีครั้งนี้ด้วยบล็อคที่ไม่ค่อยอยู่ในโลกความเป็นจริงอันนี้ ที่ซึ่งเขาได้อธิบายว่าสื่อมวลชนต่างชาติไม่มีความสามารถทางภาษาเพียงพอที่ จะเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะนำเสนอว่าวิกฤติในประเทศไทยปัจจุบันนั้นเป็นการเกิดซ้ำของการประท้วงในฟิลิปปินส์ ในปี 2529 เพื่อที่จะ "ทำให้แน่ใจว่าเงินค่าโฆษณาไหลเขามาเรื่อยๆ" ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าแนวทางทำธุรกิจที่ดีที่สุดในความเป็นจริงของ ธุรกิจสื่อ คือการรายงานเหตุการณ์ต่างๆโดยถูกต้องแม่นยำและไม่ใส่อารมณ์ร่วม
ในความพยายามที่จะสอนกลุ่มชาวต่างชาติที่ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศ กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการให้แนวทางและคำแนะนำนี้ให้กับนักสื่อข่าวชาวต่างชาติ เรื่องหนึ่งที่มันบอกได้ก็คือ ประเทศไทยนั้นเคารพเรื่องสิทธิ์ของผู้สื่อข่าวเต็มที่ แต่สื่อบางแห่งที่รายงานเกี่ยวกับความรุนแรงจะต้องถูกปิดลง มันเป็นมุมมองที่ไม่ถูกต้องที่จะมองว่าวิกฤติในประเทศไทยเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนรวยและคนจน แต่เป็น "เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างที่ถูกนำมาใช้โดยกลุ่มแกนนำการประท้วงเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมภายในกลุ่ม เป็นการเล่นบนความรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมและความเจ็บปวดของผู้คน" ว่า "ราชวงศ์ไทยอยู่เหนือการเมือง" ว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมฯไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อการปรึกษาหารือกัน" และสุดท้าย มันผิดที่จะเสนอว่ามันมีการกระทำสองมาตรฐานอยู่ในประเทศไทย
ในรัฐบาลปัจจุบันนี้ มีเพียงมาตรฐานเดียวและทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
เนื่องมาจากความจริงที่ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ ผู้ซึ่งเป็นคนควบคุมดูแลกระทรวงที่ทำบทความแถลงนี้ เป็นหนึ่งในกลุ่มแกนนำคนเสื้อเหลืองที่เกี่ยวข้องกับการยึดสนามบินในปี 2551 มันค่อนข้างจะชัดเจนว่ารัฐบาลไทยคาดหวังที่จะให้สื่อต่างชาติโง่แค่ไหนถ้าจะให้เชื่อสิ่งที่ให้มานี่ นายกษิตก็ยังเป็นบุคคลที่ทำให้ประเทศต้องละอายอย่างต่อเนื่อง ด้วยเรื่องที่เขากล่าวกับรัฐบาลและฑูตต่างชาติว่าพวกเขานั้นควรจะมองวิกฤติในประเทศไทยอย่างไร ในขณะที่การมีอยู่ของตัวเขาที่ใจกลางของรัฐบาลนั้นเองเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับที่เขาพยายามจะทำให้คนอื่นเชื่ออย่างชัดเจน
ไม่เพียงแต่สื่อต่างชาติเท่านั้นที่ไม่พบสิ่งใดที่เชื่อถือได้ในข้อโต้แย้งของผู้สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์ นักวางแผนการลงทุนชาวต่างชาติก็ได้สรุปออกมาเป็นแนวทางเดียวกัน ทีมวิเคราะห์ความเสี่ยงประเทศของสแตนดาร์ดชารท์เตอร์ได้เขียนลงในรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยงของโลกประจำไตรมาสไว้ในเดือนเมษายนว่า
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าความสำคัญของตำแหน่งนั้นเป็นที่เข้าใจในกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งจนปัจจุบันก็เป็นประเด็นทักษิณ ตอนนี้มันเป็นเรื่องของการขาดความน่าเชื่อถือเชิงประชาธิปไตยของรัฐบาล ปัจจุบันเสียมากกว่า
แต่ในหมู่ของกลุ่มผู้มีการศึกษาชั้นกลางและชั้นสูงของไทย ผู้ที่ถือตัวเองว่าเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตยของประเทศ มีความสามารถหรือความตั้งใจเพียงน้อยนิดที่จะคิดอย่างวิเคราะห์วิจารณ์อย่างจริงๆจังๆกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงตวามล้มเหลวของพวกเขาในการที่จะเผชิญหน้ากับความอันตรายของกองทัพที่นับวันจะทวีอิทธิพลที่น่ากลัวต่อการเมืองของไทยมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าทักษิณจะเลวร้ายต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยมากแค่ไหน ก็ค้านได้ยากว่าการปกครองโดยกองทัพนั้นมันเลวร้ายกว่าเยอะ ในประวัติศาสตร์ไทย กองทัพได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญการจุ้นจ้านเรื่องการเมือง และคอร์รัปชั่นแบบเปิดเผย แต่มีความสามารถเพียงน้อยนิดในสิ่งที่ตัวเองควรจะทำซึ่งก็คือการปกป้องประเทศชาติ แพ้แม้กระทั่งสงครามสั้นๆกับประเทศลาวในปี 2530-2531 สุดยอดมากๆ
ในปี 2535 ชนชั้นกลางของประเทศไทยยืนขึ้นต่อต้านการปกครองโดยกองทัพอย่างกล้าหาญ หลายคนถูกฆ่า แต่สิ่งที่พวกเขาทำให้เกิดขึ้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการ พัฒนาประเทศไทย – การเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองของพวกทหารจะไม่เป็นที่ยอมรับได้อีกต่อไป แต่กระนั้น 14 ปีต่อมา กลุ่มคนกรุงเทพได้ปรบมือต้อนรับกองทัพที่ทำการปฏิวัติโค่นล้มทักษิณ และจากนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นใบ้กันถ้วนหน้าเพราะกองทัพเข้ายึดที่นั่งต่างๆทางการเมืองและฝังราก การคอร์รัปชั่นซึ่งเห็นได้ชัดอย่างน่าเจ็บปวด
ความพยายามอย่างทุลักทุเลของกองทัพที่พยายามปล้นคนไทยคงจะเป็นเรื่องที่น่าขบขันหากมัน ไม่ส่งผลต่อประเทศอย่างร้ายแรง กองทัพอากาศไทยจากมากกว่าประเทศอื่นๆเช่น โรมาเนีย ในการจัดซื้อเครื่องบินเจ็ท กริพเพน จากสวีเดน เรือเหาะราคา 350 ล้านถูกสั่งเพื่อนำมาตรวจตราผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ แม้ว่าจะมีหลักฐานมากมายมหาศาลชี้ว่ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี – มันบินได้ไม่สูงพอที่จะพ้นวิถีกระสุนปืนไรเฟิล ซึ่งก็หมายความว่าใช้ไปก็คงไม่พ้นที่จะถูกยิงจนพรุน ร่วงลงมากระแทกพื้นกลายเป็นเศษเหล็ก กองทัพได้ของบประมาณประมาณ 5,000 ล้านบาทเพื่อซื้อรถเกราะบรรทุกคนเพิ่มขึ้น 121 คันจากยูเครน แม้ว่าจะยังไม่ได้รับรถเกราะที่คล้ายกันจำนวน 96 คัน ที่สั่งในปี 2550 ในราคา 3,900 ล้านบาท เนื่องจากผู้ขายไม่สามารถใส่เครื่องยนต์มาให้ได้
สิ่ง ที่น่าแปลกใจมากที่สุดในบรรดาตำนานโกงกินสิ้นชาติทั้งหมดของกองทัพ ก็คือเรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจจับระเบิด GT200 ซึ่งมันควรที่จะตรวจจับระเบิด ยา หรือแม้กระทั่งคนได้ ซื้อมาโดยงบประมาณจำนวนมหาศาลโดยกองทัพและบางส่วนของรัฐบาล เครื่อง GT200 ไม่ใช่เครื่องหลอกลวงต้มตุ๋นที่ทำมาอย่างแนบเนียน – อุปกรณ์ทั้งชิ้นเป็นแค่แท่งพลาสติกโดยไม่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนใดๆเลย แต่เราก็พบกับหลักฐานชัดแจ้งว่ากองทัพไม่เคยลดละความพยายามในการโกงกินอย่าง ต่อเนื่องด้วยการออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนโดยนายทหารชั้นสูงของกองทัพ นำโดยพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ในเดือนกุมภาพันธ์เพื่อมาย้ำกับคนไทยว่า "ไอ่เครื่อง GT200 นี้มันใช้ได้จริงๆนะ"
แม้กระทั่งทักษิณยังอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกในการคิดจะหาทางชิ่งหากทำการหลอกลวงหน้าด้านๆแบบนี้ แต่แล้วก็เป็นอีกครั้ง ที่กลุ่มผู้มีการศึกษาของประเทศไทย รู้ทั้งรู้ว่ากองทัพของประเทศไทยมันเลวทรามต่ำช้าแค่ไหน ก็เลือกที่จะหยุดความไม่เชื่อเอาไว้ที่ตรงนั้น แล้วพวกเขาและชนชั้นปกครอง ก็ได้เหยียบย่ำคำปฎิญาณที่ให้ไว้ว่าจะถอนรากถอนโคนการคอร์รัปชั่นที่เคยพูด ไว้ ด้วยการยอมศิโรราบให้กับการกระทำของกองทัพ พวกเขาเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงที่กระทำ โดยกองทัพที่เห็นชัดคือการสังหารผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนจากประเทศพม่า – ในขณะที่ประณามการกระทำของทักษิณเช่นสงครามกับยาเสพติด และการฆ่าคนมุสลิมในภาคใต้ของไทยที่กรือเซะและตากใบ แม้ว่าตอนนั้นจะมีผู้สนับสนุนการกระทำอยู่ไม่น้อยก็ตาม
ที่แย่ไปกว่านั้น พวกที่มีการศึกษาของไทยที่ล้อเลียนและประณามการนับถือทักษิณในหมู่คนไทยที่ มีรายได้ต่ำนั้นเป็นการแสดงถึงการยกยอกองกำลังติดอาวุธ(กองทัพ)ไทย โฆษกกองทัพ ผู้พันสรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้ในสัมภาษณ์ลงในนิตยสารไฮโซอย่างน้อยสองฉบับ (ที่นี่ และ ที่นี่) และได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์เนชั่น ว่าเป็น "ผู้พันที่เท่ที่สุดของประเทศ" ทางเนชั่นถึงขนาดทำ "วิดีโอเอกซ์คลูซีฟ" เกี่ยวกับสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของผู้พัน โดยที่นักข่าวหน้าแหยๆทั้งหลายแทบจะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
พฤติกรรมเหล่านี้ ถ้ามาจากกลุ่มคนจนของประเทศก็คงจะโดนหัวเราะเยาะกันทั่วประเทศ – และก็จะเป็นอีกหลักฐานหนึ่งถึงความไร้การศึกษาและไร้อารยธรรม แต่ดูเหมือนว่าถ้ามาจากคนกรุงแล้วละก็มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ชนชั้นกลางและสูงของไทยนั้นอยู่ในสภาวะของการปฎิเสธความจริงที่ไม่น่าดูว่า เพื่อที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องทำข้อตกลงต่าๆงกับนักการเมืองบางกลุ่มที่เรียกได้ว่า ทรามและเลวร้ายที่สุดของประเทศ – ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ เนวิน ชิดชอบ มุมมองของพวกเขาคืออะไรก็ถูกต้องตราบใดที่สิ่งที่ทำนั้นช่วยป้องกันไม่ให้ รัฐบาลทักษิณกลับมามีอำนาจ
และมันก็เป็นที่เห็นได้ชัดเจนแก่ผู้สังเกตการณ์ทุกคนว่าสิทธิและเสรีภาพของคนไทยนั้น ถูกตีกรอบและบั่นทอนมากกว่าสมัยทักษิณจนเปรียบไม่ได้ และการคอร์รัปชั่นก็เลวร้ายกว่ากันมาก คนไทยที่สนับสนุนการปกครองปัจจุบันได้เถียงว่านี่มันเป็นสิ่งจำเป็นต่อ ประชาธิปไตย มุมมองของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นึกถึงคำแถลงที่เป็นที่กล่าวขานในด้านลบอย่างมากของนายพันคนหนึ่งในช่วงสงครามเวียดนามเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดปูพรมหมู่บ้านเบนเทร "มันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำลายมันทิ้งเพื่อที่จะรักษามันไว้"
ประชาธิปไตย นั้นไม่สมบูรณ์แบบและมีข้อบกพร่อง ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือประเทศไหนๆ ดังที่วินสตัน เชอร์ชิล เคยกล่าวไว้อย่างโด่งดังว่า "ระบบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบที่แย่ที่สุดของรัฐบาล ยกเว้นว่าจะได้ลองแบบอื่นมาหมดแล้ว" ผู้ลงคะแนนเสียงมักจะเลือกทางที่แย่บ่อยๆที่ทำให้เขาต้องมาเสียใจในภายหลัง แต่นั้นก็เป็นวิธีที่สังคมเรียนรู้ ถ้าคุณคิดว่ารัฐบาลกำลังทำนโยบายที่ทำร้ายประเทศชาติ คุณก็จะต้องออกมาพร้อมกับทางเลือกใหม่ นโยบายใหม่ ที่จะเอาชนะใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง คุณไม่มีสิทธิ์ส่งกองทัพ ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมผ่านทางการขัดขวางด้วยกระบวน การ"ยุติธรรม"ที่มีแต่ข้อกังขา ปิดสื่อที่ไม่เห็นด้วยและตราหน้าแม้แต่คนที่ประท้วงอย่างสันติว่าเนรคุณแผ่น ดิน
ดังที่ เจมส์ สเตนท์ ได้เถียงเอาไว้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ของประเทศไทย ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการที่จะคิดการตอบสนองแบบประชาธิปไตยที่เชื่อถือได้ มาต่อกรกับความนิยมในตัวทักษิณ
พรรคประชาธิปัตย์ .. ได้รับการพิสูจน์มาตั้งแต่หลังการได้รับเลือกตั้งของทักษิณในปี 2544 ว่าไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการและภาพลักษณ์ได้ หรือแม้แต่จะนำเสนอผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทด้วยนโยบายทางเลือกที่เชื่อ ถือได้มาแข่งทักษิณ พวกมีการศึกษาชนชั้นกลางและสูงในเมืองได้แต่แสดงอาการไม่พอใจ แต่ความรู้สึกของผมก็คือพวกเขาต้องเลือกว่าจะออกมาพร้อมนโยบายใหม่ๆที่เป็น ทางเลือกที่ดีกว่าของทักษิณ หรือไม่ก็ยอมรับว่าจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของทักษิณไปสักพักใหญ่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่พวกเขาต้องจ่ายในฐานะที่ไม่สามารถพัฒนาวิสัยทัศน์แบบ องค์รวมที่ออกไปถึงและเกี่ยวข้องกับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่ยากจนส่วนใหญ่ ที่ซึ่งตอนนี้หันไปหาทักษิณในฐานะที่เป็นไอดอลทางการเมืองของพวกเขา
เมื่อไม่สามารถพัฒนาวิสัยทัศน์ได้ พวกคนกรุงก็เลยเลือกที่จะอยู่โดยไม่มีประชาธิปไตยกันไปเลยสำหรับเวลานี้ แทนที่จะก้าวข้ามความไม่พอใจและออกมาพร้อมกับนโยบายที่ดีกว่า พวกเขากลับเลือกพยายามที่จะทำให้ฝั่งตรงข้ามเป็นพวกนอกกฎหมายให้ได้มากที่สุด พวกเขาได้เลือกที่จะพึ่งวิธีที่ใช้โดยผู้นำเผด็จการที่ล้มละลายทางสติปัญญา ที่ว่า เมื่อไม่สามารถชนะใจและการสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ได้ ก็หันไปหาการเซนเซอร์ ปิดกั้นข่าวสาร ข่มขู่ และกดขี่ และคนไทยที่มีการศึกษาจำนวนมากก็ได้ให้การสนับสนุนวิธีการนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ปากก็ยังกล่าวหาความล้มเหลวของประชาธิปไตยในประเทศว่าเป็นความผิด ของคนจน อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในการประณามอย่างโจ่งแจ้งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานเกี่ยวกับการกดขี่ในประเทศไทย ได้ออกมาจากปากของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2551 ในสมัยที่เขายังอยู่ฝ่ายค้านและผู้ประท้วงเสื้อเหลืองสองคนเสียชีวิตระหว่าง การตีกันในกรุงเทพ:
ในเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ไม่ว่าจะเกิดจากความไม่รู้หรือโดยตั้งใจ สิ่งที่แย่กว่าการโยนความผิดให้กับหน่วยงานของรัฐก็คือ การทำให้ประชาชนเป็นผู้ร้ายของเรื่อง ผมไม่เคยคิดว่าเราจะมีรัฐที่ทำให้ประชาชนถูกฆ่าและบาดเจ็บสาหัส และจากนั้นก็กล่าวหาประชาชนว่าเป็นคนก่ออาชญากรรม นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ผมได้ยินพวกที่อยู่ในรัฐบาลถามประชาชนอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า เมื่อพิจารณาสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้แล้ว มันไม่ใช่คำถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่คุณเป็นมนุษย์หรือเปล่าเสียมากกว่า
มันเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับประเทศไทยที่ผู้มีการศึกษาจำนวนมากที่ควรจะมีความรู้ความคิด ได้ล้มเลิกหลักการที่พวกเขาอ้างว่าสนับสนุนเมื่อไม่ถึงสองปีก่อน ทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีการศึกษา แล้วลืมว่าการคิดเองนั้น ทำยังไง?