วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จดหมายจากวิกีลีกส์ถึงรัฐบาลไทย

จดหมายจากวิกีลีกส์ถึงรัฐบาลไทย

เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทยได้ดำเนินการบล็อควิกีลีกส์ซึ่งเป็นเวปไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มา ทั้งนี้วิกีลีกส์ได้เรียกตนเองว่าเป็นระบบเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างไม่มีการปิดบัง วิกีลีกส์ตอบโต้ด้วยการตั้งเวปไซค์ขึ้นมาใหม่โดยให้ชื่อว่าไทยลีกส์ และข้อความข้างล่างคือข้อความของวิกีลีกส์ถึงคณะรัฐบาลไทย

“เรียน คณะรัฐบาลไทย

ในที่สุดรัฐบาลของท่านก็ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยเผด็จการแห่งชาติบล็อควิกิลีกส์

บางคนสงสัยว่าข้อมูลส่วนไหนที่ท่านต้องการที่ปิดบังจากประชาชน หรือเป็นข้อมูลที่ระบุว่ามีเวปไซค์ใหม่ทั้งหมด 1,203 เวปไซต์ที่เพิ่งจะถูกบล็อคเมื่อไม่นานมานี้ ข้อมูลเกี่ยวกับนายแฮรี่ นิโคเลดส์ นักโทษทางการเมือง?

อย่างไรก็ตามเหตุผลของท่านไม่เกี่ยวข้องกับเรา เราอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตของท่าน ทำหน้าที่ปกป้องระบบหมุนเวียนข้อมูลอันเสรีภาพ ดังนั้นข้อมูลอะไรก็ตามที่ท่านลบออก เราจะนำกลับมาลงใหม่ เราเกิดและเติบโตในท่อ (เครือข่ายอินเตอร์เน็ต) และภาษาแม่ของเราคือรหัสลับ

วันนี้เราได้จัดทำเวปไซค์ไทยลีกส์ขึ้นมา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงระบบกรองแบบพื้นๆของท่าน ท่านสามารถเพิ่มเวปไซต์ดังกล่าวลงไปในรายการเวปไซต์ที่ควรถูกบล็อกของท่าน แต่นั้นไม่ได้ทำให้เรากังวลเลย เพราะมีนักท่องอินเตอร์เน็ตหลายพันคนที่พร้อมจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่จุดหมายอันแท้จริง และนั้นก็คือประชาชนชาวไทย

ท่านสามารถเข้าเวปไซต์วิกิลีกส์ด้วยการเข้าไปที่วิกีไทยลีกส์หรือใช้ secure connection ( ท่านต้องกดยินยอมรับใบรับรองก่อน) ใน https-enabled

เราคือวิกีกง ( Wikicong เป็นการเล่นคำระหว่างวิกีกับทหารเวียดกงที่ต่อสู้อเมริกาแบบใต้ดินในสงครามเวียดนาม) หน่วยคอมมานโดใต้ดินของ Telecomix Crypto Munitions Bereau

เราเชื่อมโยงคนเข้าด้วยกัน

เราเป็นอิสระ

เราคือแมงกะพรุน

เราจะทำหน้าที่ปกป้องเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสารของประชาชนต่อไป”

หากท่านมีคำถามหรือต้องการคำตอบ โปรดเข้าไปที่ห้องสนทนาของเรา  ซึ่งเป็นแหล่งที่นักท่องอินเตอร์เน็ตอาจมีคำตอบให้กับคำถามของท่าน และท่านยังสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลไทยบล็อกวิกีลีกส์ได้ที่ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์

http://robertamsterdam.com/thai/?p=359




--
 

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เสรีไทย กับ การประกาศวันสันติภาพ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ (1945)


เสรีไทย กับ การประกาศวันสันติภาพ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ (1945)


ผลงานของ ด.ช.พีท  ตรีบำรุง  จากประกวดภาพศิลปะเด็กและเยาวชนครั้งที่ ๕ "ความดี"

เสรีไทย  กับ  การประกาศวันสันติภาพ   16  สิงหาคม  2488 (1945)

นำเสนอโดย  อุทัย  สุจริตกุล

วันนี้ 16 สิงหาคม 2552 เป็นวันที่เมื่อ 64 ปีที่แล้วมา 16 สิงหาคม 2488 (1945)  ประเทศ ไทยได้ประกาศเป็นวันสันติภาพทันทีที่ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตร ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยโดยรัฐบาลขณะนั้นได้ประกาศสงครามกับสหราชอาณาจักร (Great Britain) และสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 (1942)  รวม ทั้งประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นร่วมทำสงครามเอเซียบูรพา สหราชอาณาจักรได้ประกาศตอบทำสงครามกับประเทศไทย แต่สหรัฐฯ มิได้ประกาศตอบ  แต่เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตร  ประเทศ ไทยได้ประกาศสันติภาพทันทีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้และสัมพันธมิตรโดยมีสหราช อาณาจักรและสหรัฐอเมริกาประกาศยอมรับการประกาศสันติภาพของประเทศไทย

เรื่อง นี้ ได้มีข้อสงสัย และ คำถามจากบุคคลหลายกลุ่ม หลายคณะ ว่าอะไรเป็นเหตุให้สัมพันธมิตรยอมรับการประกาศสันติภาพและไม่ถือว่าไทยเป็น ผู้แพ้สงคราม เบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องมีกลไก กิจกรรม ที่สำคัญ ๆ มากมาย มีผลเป็นที่พอใจและเชื่อถือต่อสัมพันธมิตรตลอดเวลาสงคราม สิ่งเหล่านั้นคืออะไร?  และ พร้อม ๆ กับการประกาศสันติภาพนั้น ดร. ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ประกาศว่า การประกาศสงครามของประเทศไทย ต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกานั้นเป็นโมฆะ เพราะขัดกับเจตนารมย์ของคนไทยทั้งประเทศ

ขบวน การเสรีไทย ซึ่งประกอบด้วยคนไทยและต่างชาติ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมมือและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด โดยมีอุดมคติและจุดประสงค์เดียวกัน คือร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร ต่อต้านและขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกจากประเทศไทย เพื่อให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุด การปฏิบัติและผลงานที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับจากขบวนการเสรีไทยตลอดสงครามมี มากมาย ไม่สามารถที่จะบรรยายให้หมด ณ ที่นี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผลงานที่สำคัญ ๆ ส่วนใหญ่ของเสรีไทย จะหาอ่านได้จากหนังสือตำนานของเสรีไทย หรือ THE FREETHAI LEGEND  โดย ดร. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

การประชุมสุดยอดของฝ่ายสัมพันธมิตร ณ เมือง Quebec  Canada ในปี 2486 (1943) มีหัวข้อสำคัญหัวข้อหนึ่งที่เกี่ยวกับประเทศไทย ที่ประชุมได้มีมติให้มีการแบ่งพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (Southeast Asia) มีพม่า มะลายู ชะวา อินโดจีน และ ไทย  พื้นที่ของประเทศดังกล่าว ที่อยู่ใต้เส้นขนานที่ 16 (16 N)  จะอยู่ในเขตปฏิบัติการและอำนาจอนุญาตปฏิบัติงานทางทหารของอังกฤษ ส่วนที่อยู่เหนือเส้นขนานที่ 16  (16 N) จะอยู่ในอำนาจของจีน (เจียง ไค เช็ค)  และในปีเดียวกันนั้นเอง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้แต่งตั้ง พล.ร.อ. ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเตน  เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรภูมิภาคเอเชียอาคเนย์

พล.ร.อ. เมาท์แบตเตน ได้บินไปพบเจียงไคเช็คที่เมืองจุงกิง เสนอขอแก้ไขความตกลงการแบ่งพื้นที่หรือเขตของประเทศไทยและอินโดจีน ให้อยู่ในอำนาจและอนุญาตปฏิบัติการทางทหารของอังกฤษ  เจียงไคเช็คไม่ตกลงที่จะให้แก้ไข  แต่หากอังกฤษ จะทำการปฏิบัติการทางทหารในเขตประเทศไทย และอินโดจีน เหนือเส้นขนานที่  16 (16 N)   ก็ไม่ขัดข้อง โดยไม่ต้องขออนุญาตจากจีนก่อน  ซึ่งก็หมายความว่าจีนก็ยังคงมีอำนาจทำได้เช่นเดิม

ก่อน การประกาศยอมแพ้ของญี่ปุ่น ทางกองบัญชาการทหารสูงสุดของ พล.ร.อ. เมาท์แบตเตน ได้ให้คำแนะนำ ให้ดร.ปรีดีฯประกาศโดยด่วนยกเลิกการประกาศสงคราม ตลอดจนสัญญาและข้อตกลงต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทยทำไว้กับญี่ปุ่น  โดยกระทรวง การต่างประเทศอังกฤษให้แจ้งว่า หากดร.ปรีดีฯ ดำเนินการตามข้อแนะนำ อังกฤษก็พร้อมที่จะไม่บังคับให้ไทยยอมจำนน เยี่ยงผู้แพ้สงคราม เพราะขบวนการเสรีไทยได้ให้ความสนับสนุนภารกิจสงครามแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็น อย่างดีตลอดมา

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2488 สมเด็จพระจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นประกาศให้ประชาชนและกองทัพญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสัมพันธมิตร  พล.ร.อ. เมาท์แบตเตนได้ส่งวิทยุด่วนถึง ดร.ปรีดีฯ  แจ้ง เรื่องนี้ในวันที่ 16 สิงหาคม และในวันเดียวกันนี้เองประเทศไทยก็ได้ประกาศสันติภาพ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาประกาศยอมรับการประกาศสันติภาพของไทยทันที

ในวันที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ จีนได้ส่งทหารเข้าไปในเขตรัฐฉาน (Shan State) เพื่อจะเข้ามาปลดอาวุธญี่ปุ่นในประเทศไทย   ดร.ปรีดีฯได้ขอให้หน่วย O.S.S.  ของสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่กับเสรีไทยในกรุงเทพฯ แจ้งพฤติกรรมของกองทหารจีนแก่สหรัฐฯ พร้อมกับแจ้งให้สหรัฐฯทราบว่า    หากกองทัพจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทย ความไม่สงบเรียบร้อยจะเกิดขึ้น  

การ แจ้งให้สหรัฐฯได้ทราบอย่างรวดเร็วนี้ เป็นผลให้ประธานธิบดีทรูแมน ออกคำสั่งและย้ำว่า พล.ร.อ. เมาท์แบตเตนเป็นผู้มีอำนาจปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย เมื่ออังกฤษส่งกองทหารจากอินเดียจำนวนหนึ่งเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น  ทำให้จีนไม่พอใจ และมีจีนกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพฯ มีปฏิกิริยาก่อความไม่สงบ แต่ก็ถูกทหารและตำรวจของไทยปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว

ผลงานที่ดีเด่นของเสรีไทย และการประกาศสันติภาพของประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 (1945)  เป็นผลให้ประเทศไทยยังคงรักษาเอกราชอธิปไตยไว้ได้เช่นเดิม กองทัพไทยไม่ต้องยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร และถูกปลดอาวุธ  ทหาร ของสัมพันธมิตรที่เข้ามาปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทย เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็ถอนกลับไปหมด ไม่เหมือนกับบางประเทศในเอเชียและยุโรป ที่ยังคงมีทหารต่างชาติประจำการอยู่จนทุกวันนี้

ขบวน การเสรีไทย ได้เพียรพยายามมาด้วยความยากลำบากในการที่จะได้มาซึ่งการประกาศสันติภาพของ ไทย ในโอกาสที่วันสำคัญได้เวียนมาครบ 64 ปี ในปี 2552 นี้ คนไทยน่าจะภาคภูมิใจ ไม่สมควรที่จะลืมวันสำคัญนี้เสียตลอดไป

อนึ่ง ตลอดมานับจากวันประกาศสันติภาพในปี 2488 ทุก ๆ วันที่ 16 สิงหาคมของปี พวกเราเสรีไทยได้ประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อระลึกถึงและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เสรีไทยทุกท่านที่ได้สละชีวิตรับใช้ชาติ พิธีการก็ได้กระทำอย่างเรียบง่ายเท่าที่โอกาสและฐานะจะอำนวยให้ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2538 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการกำหนดให้วันที่ 16 สิงหาคม เป็นวันสันติภาพไทย และกรุงเทพมหานคร คุณพิจิตร รัตตกุล ผู้ว่าราชการฯ ขณะนั้น และคุณสมคาด สืบตระกูล เลขานุการผู้ว่าราชการฯ ได้เห็นคุณค่าและความเสียสละของขบวนการเสรีไทย ได้ดำเนินการขออนุมัติงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อก่อสร้างอาคารเสรีไทยอนุสรณ์ ณ สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม และเมื่อการก่อสร้างอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว การประกอบพิธีทางศาสนาอุทิศส่วนกุศลตามที่ได้เคยจัดทำที่ตึกวชิรญานวงศ์ รพ. จุฬาลงกรณ์ เป็นประจำจึงได้ย้ายมาจัดทำที่อาคารเสรีไทยอนุสรณ์ บึงกุ่ม โดยท่านอดีตผู้ว่าฯ ได้มอบให้ ผอ. เขตบึงกุ่มให้ความร่วมมือกับฝ่ายปฏิบัติงานของสถาบันปรีดีพนมยงค์เป็นผู้จัด ทำตั้งแต่ปี    2546      เป็นต้นมา

ปี หน้า พ.ศ. 2553 จะเป็นวันครบรอบปีที่ 65 ของการประกาศสันติภาพของประเทศไทย กระผมขออนุญาตเสรีไทยทุกท่านพูดในนามของเสรีไทย เสนอ พณฯ นายกรัฐมนตรี ได้โปรดให้ความสำคัญแก่วันดังกล่าวนี้ให้มากขึ้น และหากเป็นไปได้ขอเรียนเสนอให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้โปรดมอบหมายหรือสั่งการ ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญนี้ให้เป็นผู้อุปถัมภ์ และจัดงานระลึกถึงวันสำคัญนี้ โดยมีเขตบึงกุ่มและสถาบันปรีดีพนมยงค์เป็นที่ปรึกษาและประสานงานเป็นประจำ ทุกปี

 

FREETHAI  MOVEMENT  AND  DECLARATION  OF PEACE  DAY

16 AUGUST 1945

Presented by Uthai  Sucharitkul

                  Go back to 64 years ago – today 16 August 1945, Thailand had declared Peace Day immediately after Japanese Armed Forces had surrendered to the  Allies  - Great Britain and United States of America.  Such declaration by Thailand was actively endorsed by Great Britain and United States of  America despite Thailand – the then Government had declared war against G.B. and U.S.A. on 25 January 1942.

                  There are and there were questions about this matter from various groups doubtfully what caused  the Allies to endorse such Declaration and disregard Thailand as looser.  Apparently, there must be an outstanding mechanism and performances played the most important roles throughout the war by FreeThai Movement which caused great satisfaction to the Allies.   At the same time with Peace Day Declaration, Dr. Pridi or rather code name RUTH the leader of FreeThai Movement announced that the Declaration of War against G.B. and U.S.A. by the then Thai Government on 25 January 1942 was invalid as it was contradicted to the intention of the majority of the Thai people.

                  FreeThai Movement comprised of Thais and foreigners inside and outside the Country with the same ideal and objective to work together and collaborate with Allies in order to resist and defeat the Japanese Armed Forces as soon as possible.  There were lots of activities and results performed by FreeThai Movement throughout the War which cannot be able to present right here due to time given.  Nevertheless, details of FreeThai Movement performances are available in the Legend of FreeThai Movement Book written by Dr. Vichitwong Na Pompet, member of the Royal Institute.

                  Shortly, prior to the Japanese’s surrender, the Allies Supreme Command H.Q. Southeast Asia advised RUTH to urgently announce the Cancellation of War Declaration as well as all agreements that Thailand had agreed with the Japanese and if RUTH has proceeded in accordance with such advice, the Foreign Ministry  agreed not to treat Thailand to either surrender or looser.  This is simply because the FreeThai Movement has been continuously performing an outstanding collaboration and field activities to the Allies.

                  15 August 1945, Japanese Emperor requested all Japanese and the Armed Forces to surrender to Allies.  In such incident, Admiral Mountbatten had transmitted the urgent message  informing the incident to RUTH on 16 August and on the same day Thailand immediately declared the Peace Day.  G.B. and U.S.A. endorsed such declaration by Thailand.

                  Right after Japanese’s surrender, China, Chiang Kai Check deployed troops into Shan State to make path into Thailand to disarm the Japanese.  RUTH requested O.S.S. in Bangkok to report this incident to Washington plus the remarks that “if Chinese troops come to disarm the Japanese in Thailand, the situation unrest will possibly be occurred.”

                  By the result of urgent notification, President Truman issued the order and stressed that Admiral Mountbatten had full authorization to disarm the Japanese Armed Forces in Thailand.  By having British troops to disarm the Japanese in Thailand, the situation unrest had occurred in downtown Bangkok by some Chinese groups.  But the situation was settled shortly by Thai military and police.

                  FreeThai Movement’s outstanding performance and Declaration of Peace Day on 16 august 1945 caused Thailand to maintain Independence and Sovereignty.  Submission by the Royal Thai Armed Forces to Allies  was not required and the most important point to be notice is there was no single Allied troops left in Thailand after the disarmed mission completed, unlike some countries in Asia and Europe up till now.

                  In order to obtain the Declaration of Peace Day, FreeThai Movement had endeavoured  and sacrificed lives and blood as well as all kinds of hardship.  On this occasion of the auspicious day has turned 64 years today, all Thai people should be proud of and should not forget this auspicious day – keep it in mind forever and ever.

                  Honourable Governors, Excellencies, Distinguished Guests.

                  May I take this auspicious occasion to request you all to rise for 1 minute to commemorate to our Heroes members of FREE-THAI MOVEMENT.

                  Thank you – much obliged.


--
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=489471

 

เกมกทช.ทวนกระแส 'เสรี'





altถูกตั้งคำถามกระหึ่มขึ้นมาทันที เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้มีมติออก (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ว่าด้วยการกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคน ต่างด้าว พ.ศ. ..... เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อจัดให้มีการประชาพิจารณ์อีกครั้งในวันที่ 20 สิงหาคมที่จะถึงนี้
 คำถามก็คือว่า ทำไม? กทช.ถึงได้ออกร่างประกาศดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่มีกลุ่มทุนข้ามชาติ 2 ราย คือ สิงคโปร์เทเลคอม และ เทเลนอร์เอเชีย พีทีเอ  ที่ควักเงินรายละกว่าหมื่นล้านบาทเข้ามาลงทุน
อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ กทช.ออกเดินสายโรดโชว์ ดึงนักลงทุนข้ามชาติเข้ามาประมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ในย่านความถี่ 2.1 เมกะเฮิรตซ์ แต่ร่างประกาศดังกล่าวกลับเพิ่มเงื่อนไขกีดกันนักลงทุนต่างชาติไม่ให้นั่ง ตำแหน่งบริหารระดับสูง
ไม่เพียงเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ ทางฝั่งนักวิชาการได้ออกมาคัดค้านร่างประกาศนี้ โดยชี้ว่า เป็นการบล็อกต่างชาติไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ทั้งที่รัฐบาลประกาศแผนแม่บทเดินหน้าสู่การเปิดเสรีการแข่งขันให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น

***ผ่าร่างครอบงำกิจการ
   ที่มาที่ไปของ (ร่าง)ประกาศฉบับนี้ สืบเนื่องจากได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549  ซึ่งมีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างด้าว ในกิจการโทรคมนาคม และให้อำนาจคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในการกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตสำหรับการประกอบกิจการบางลักษณะหรือบางประเภท ที่เป็นนิติบุคคล จะต้องกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าวได้
 ประกอบ อำนาจตามความในมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 และกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในบางมาตรา บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนั้น คณะกรรมการ กทช.ได้จัดทำร่างประกาศกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการ โดยคนต่างด้าวดังกล่าวขึ้น
***บังคับเฉพาะใบอนุญาตแบบ2 และ 3
 สำหรับร่างประกาศฉบับนี้ ใช้บังคับกับผู้ขอรับใบอนุญาตหรือผู้รับใบอนุญาตแบบที่สอง และผู้ขอรับใบอนุญาตหรือผู้รับใบอนุญาตแบบที่สาม ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549
 ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างประกาศฉบับนี้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากสุด  คือ ผู้ถือหุ้นที่เป็นต่างด้าว ผู้แทน หรือตัวแทนมีอำนาจในการคัดเลือกว่าจ้างงาน หรือกำหนดตำแหน่งสำคัญในนิติบุคคลที่เป็นผู้รับใบอนุญาต เช่น ประธานกรรมการ กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ ผู้อำนวยการ หัวหน้าผู้บริหารด้านจัดซื้อ หรือ หัวหน้าผู้บริหารด้านการเงิน เป็นต้น          
***"นที"แจงผ่านทวิตเตอร์
 แรงต่อต้านที่เกิดขึ้น ทำให้พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ กทช. และประธานคณะกรรมการ 3.9 G ได้ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ @Drnatte39G ว่า ตามกฎหมายประกอบกิจการโทรคมนาคม กำหนดให้ กทช.สามารถออกกฎเกณฑ์ว่าด้วยการครอบงำโดยต่างด้าวในกิจการนี้ได้ ตั้งแต่เข้ามาเป็น กทช. ก็เห็นร่างประกาศฉบับนี้อยู่ในวาระการประชุม กทช. มาโดยตลอด แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากที่ประชุมกทช. นอกจากนี้ร่างประกาศฉบับนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 เคยไปสู่การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ และได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาตามลำดับ
ในการไปเชิญชวนผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย ก็มีคำถามเกี่ยวกับร่างประกาศฉบับนี้แทบทุกครั้ง สิ่งที่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมต่างประเทศกังวลใจมิใช่การมีประกาศฉบับนี้ แต่กังวลใจถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาลงทุนแล้ว การนำร่างประกาศฉบับนี้มาสู่การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม คือ การกำจัดความไม่แน่นอนที่ทุกคนกังวลใจ ว่าจะเกิดขึ้นตามระยะเวลาและกระบวนการที่เกิดขึ้น
alt "ผม คิดว่าการดำเนินการในส่วนของร่างประกาศฉบับนี้ แยกออกจากกระบวนการออกใบอนุญาต 3G อย่างชัดเจนยังมีการดำเนินการอีกหลายขั้นตอนก่อนที่จะประกาศในราชกิจจาฯ เพื่อมีผลบังคับใช้ จึงไม่น่าส่งผลต่อการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้าประมูล 3G แต่การดำเนินการตามร่างประกาศ จะเป็นไปในลักษณะของการเยียวยาและแก้ไขการถูกครอบงำโดยต่างด้าว ถ้าผู้ได้รับใบอนุญาตเข้าข่ายดังกล่าว นอกจากนี้จะเป็นการดำเนินการโดยทั่วไป เพราะเป็นประกาศที่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่ 2 และ 3 ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเองจะต้องปฏิบัติ คิดว่าประกาศฉบับนี้จะสร้างความสมดุลระหว่างการให้ต่างชาติมาลงทุนในประเทศ ไทย กับการประกันความมั่นคงของชาติในทุกด้าน"
***นักวิชาการค้าน
  ทางด้านนายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระด้านสื่อสารและสารสนเทศ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า  ไม่เห็นด้วยที่ กทช. จะออกประกาศดังกล่าว และการกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ถือหุ้นต่างชาติ นั่งตำแหน่งประธานกรรมการ กรรมการผู้จัดการนั้น ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจาก
 อาจขัดต่อข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่มีข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบ General Agreement on Trade in Services (GATs) ดังนั้น จึงมั่นใจว่าร่างประกาศฯ ฉบับดังกล่าว จะไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม ประกาศดังกล่าวยังขัดแย้งกับข้อกำหนดของ GATS ที่ห้ามบริษัทไม่ให้มีผู้บริหารเป็นต่างชาติ เพราะข้อตกลงได้ระบุเอาไว้ว่า ห้ามเลือกปฏิบัติกับนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยจะต้องปฏิบัติกับนักลงทุนในประเทศ และต่างชาติด้วยบรรทัดฐานเดียวกัน
ขณะที่ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ระบุชัดเจนว่า ให้ต่างชาติมีสิทธิถือหุ้นครองหุ้นได้ 49% ฉะนั้น การจำกัดให้มีผู้บริหาร และจำกัดการออกเสียงได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากกว่า
"ปัญหาที่ตามมาจะส่งผลต่อภาพลักษณ์การลงทุน ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ขาดความเชื่อมั่น และมีความลังเล ร่าง นี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่เสียเปรียบในการเข้าประมูล 3 จี ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่มีไม่มีผู้บริหารเป็นคนต่างชาติเลย" 
 สอดคล้องกับ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบัน มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ร่างฉบับดังกล่าวเท่ากับว่าเป็นการกีดกันไม่ให้มีการแข่งขันเสรี และยิ่งเกิดผลเสียต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทั้งทำให้นักลงทุนต่างชาติเห็นว่าเป็นการยึดผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเท่า นั้น
***สะเทือน "เอไอเอส-ดีแทค"
 แน่นอน หากร่างฉบับดังกล่าวถูกประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา นั้นหมายความว่าสองกลุ่มทุนสื่อสารยักษ์ใหญ่ คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ถือหุ้นโดยสิงคโปร์เทเลคอม และปัจจุบันมีผู้บริหารต่างชาติเข้ามานั่งตำแหน่งฝ่ายบริหาร คือ นายอึ้ง ชิง-วาห์ กรรมการและกรรมการบริหาร และ นายฮุย เวง ชอง นั่งตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการ (COO)
 ขณะที่ เทเลนอร์ เอเชีย พีทีเอ ได้เข้ามาซื้อกิจการใน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ต่อจากครอบครัวเบญจรงคกุล ปัจจุบันมีนายทอเร่ จอห์นเซ่น นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายเทอเรีย โบการ์ด รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบัญชีและการเงิน  ดังนั้นทั้ง เอไอเอส และ ดีแทค จะได้รับผลกระทบต่อร่างฉบับนี้โดยตรง
 มีแต่บริษัท ทรูมูฟ จำกัด เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่ลอยตัว เพราะเป็นกิจการที่ถือหุ้นโดยคนไทย 100% และไม่มีคนต่างด้าวนั่งเก้าอี้ระดับบริหาร
อีกทั้งประเด็นการคุ้มครองผู้ประกอบการไทยนั้น  ครั้งหนึ่งนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ร่างข้อสรุปข้อเสนอการจัดสรรคลื่นความถี่ ไอเอ็มที หรือ 3G and beyond เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2552 กรณีเรื่องสัญชาติ ที่ ทรู ซึ่งเป็นบริษัทไทย ต้องแข่งขันกับบริษัทที่มีรัฐวิสาหกิจต่างชาติถือหุ้นใหญ่
 อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าว นายซิคเว่ เบรกเก้ รองประธานกรรมการบริหารเทเลนอร์ กรุ๊ป ดูแลภูมิภาคเอเชีย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ดีแทค ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับร่างประกาศห้ามการครอบงำกิจการโทรคมนาคมจากคนต่างด้าว ของคณะกรรมการ กทช.  ว่า ได้เห็นร่างประกาศดังกล่าวที่ตีพิมพ์ลงบนเว็บไซต์ของ กทช.แล้ว ทางเทเลนอร์และดีแทค กำลังศึกษาในรายละเอียดของร่างอย่างจริงจัง และแน่นอนว่าประเด็นนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการถกเถียงของบอร์ด ซึ่งกำลังจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการเข้าประมูล 3 จีในไทยที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ย.นี้
หาก กทช. ออกกฎเหล็กสกัดต่างด้าวครอบงำกิจการ จึงเท่ากับว่าเป็นการปิดประตูต่างชาติที่จะเข้าประมูล 3G และน่าเสียดายโอกาส ที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ และประธานคณะทำงาน 3.9 ใช้งบประมาณถึง 10 ล้านบาทไปโรดโชว์ เชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศทั้ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และ มาเลเซีย เข้ามาร่วมประมูลใบอนุญาตในเมืองไทย
         การออกร่างประกาศฉบับดังกล่าวเชื่อได้ว่า ในวันประชาพิจารณ์ 20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ เอไอเอส และ ดีแทค รวมไปถึงนักวิชาการ เตรียมออกมา "ฉะ" ในเรื่องนี้หนักหน่วงแน่  เพราะโลกเปิดเสรีแล้วแต่บ้านเราจะถอยหลัง และเป็นอีกหลุมขวากบนเส้นทางเปิดประมูล 3 จี ที่สะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า  เชื่อว่ากรณีนี้คงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของ กทช.อย่างแท้จริง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,556  12-14  สิงหาคม พ.ศ. 2553

 

 
 




--
 

รายได้จัดเก็บ-คุมหนี้รายจ่าย ปัญหาใหญ่





altประเด็น การก่อหนี้โดยภาครัฐเพื่อนำมาใช้จ่ายและลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยนับ ตั้งแต่การเข้ามาบริหารของรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้นำไปสู่ข้อกังขาว่า รัฐจะแบกภาระหนี้ในอนาคตอย่างไร และการคลังรัฐจะอยู่ในสถานะขาดดุลกี่ปี   จะกระทบต่องบรายจ่ายด้านลงทุนในอนาคตหรือไม่  ด้วยข้อจำกัดด้านรายได้จัดเก็บที่มีสัดส่วนค่อนข้างต่ำเพียง 17% ของจีดีพี  โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตในระดับ 5% ขึ้น
                     ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.)กระทรวงการคลัง  โดยนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี ได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างปลัดกระทรวงการคลัง นายสถิตย์  ลิ่มพงศ์พันธุ์   กับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ นางสาววลัยรัตน์  ศรีอรุณ   เพื่อวางกรอบการจัดทำงบประมาณสมดุลภายใน 5 ปี
*วางปลัดคลังเชื่อมภาคการเมือง-ขรก.  
                  นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการ (รมว.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลง (เซ็นสัญญาเอ็มโอยู ) ดังกล่าว  เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเสถียรภาพทางการคลัง สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่าจะมีเม็ดเงินดูแลทุกนโยบายที่ได้จัดทำขึ้น อย่างเพียงพอ และสามารถกำหนดความยั่งยืนทางการคลังเพื่อทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งได้
                   โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้เพื่อป้องกัน มิให้เป้าหมายเปลี่ยนแปลง  ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลัง, ที่ปรึกษารมว.กระทรวงการคลังเพื่อประสานระหว่างภาคราชการและการเมือง    ซึ่งแม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ต่อเนื่อง   การจัดทำงบสมดุลใน 5 ปี (ปี 2557) ก็ยังขับเคลื่อนต่อได้โดยไม่สะดุด
    "กลไกสำคัญคือ จะต้องมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นตัวยืน และเพื่อยืนยันว่าจะต้องเชื่อมโยงกับภาคการเมือง    ซึ่งจะทำให้ทั้งส่วนของภาคการเมือง  และภาคราชการไทยสามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ตามเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่ได้ บันทึกร่วมกัน"
*สมมติฐานศก.ต้องโต 4.5% อัพ
*รายได้รัฐเพิ่มเฉลี่ย 8.25% ต่อปี
   สำหรับการจัดทำงบประมาณสมดุลในปี 2557 นั้นตั้งอยู่บนสมมติฐานหลัก คือเศรษฐกิจปี  2553  ต้องขยายไม่น้อยกว่า 6.5%  อัตราเงินเฟ้อ 3% และปี 2554 จะต้องขยายตัวไม่น้อยกว่า 4.5%   ที่อัตราเงินเฟ้อ 2% ซึ่งสมมติฐานอัตราการขยายตัวที่ 4.5% เป็นสมมติฐานที่จะใช้ตั้งแต่ปี 2555  ไปจนถึงปี 2565   โดยมีอัตราเงินเฟ้อในช่วง 10 ปีสุดท้ายที่ 3% 
    ขณะที่สมมติฐานในส่วนของรายได้ปีงบประมาณ 2553 คาดการไว้ตามเอกสารงบประมาณที่ 1.35 ล้านล้านบาท  แต่คาดว่าสุดท้ายแล้วจะมีรายได้ที่ 1.65 ล้านล้านบาท  หรือสูงกว่าประมาณ 315,000 ล้านบาท   โดยสูงกว่าประมาณการ 23.5-24%  ขณะที่ปีงบประมาณ  2554 ประมาณการรายได้ในเอกสารงบประมาณ พิจารณาในวาระสุดท้ายในสัปดาห์หน้าที่ 1.65 ล้านล้านบาท  ซึ่ง ณ วันนี้คาดว่าน่าจะทำได้จริง 1.7 ล้านล้านบาท หรืออาจจะสูงกว่าเล็กน้อย  
   ส่วนในปีงบประมาณ 2555-2565  สมมติฐานรายได้จะต้องขยายตัวเฉลี่ย 8.25% ต่อปี  บนการเติบโตของจีดีพีพื้นฐาน (รวมอัตราเงินเฟ้อ) ที่ 7.5% และอัตราส่วนการขยายรายได้เมื่อเทียบกับจีดีพีที่ 1.1 เท่า 
     กล่าวก็คือหากเศรษฐกิจขยายเพิ่ม 1% รายได้จะเพิ่มขึ้น 1.1% เป็นต้น  โดยสมมติฐานทั้งหมดดังกล่าวเป็นสมมติฐานที่มีการอ้างอิงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จริงในอดีต  และคาดว่าน่าจะเป็นประมาณการใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ณ วันนี้ 
*ลงทุนโครงการใหม่ปีละแสนล้าน  
   สำหรับประมาณการรายจ่าย สมมติฐานในปีงบประมาณ 2554 จะใช้รายจ่ายตามเอกสารงบประมาณ  ส่วนงบปี 2555-2561 จะมีอัตราเพิ่มขึ้นในอัตราปกติ  และมีโครงการใหม่ๆ ประมาณ 1% ของจีดีพี  โดยจะมีการเพิ่มขึ้นของงบประมาณรายจ่ายเฉลี่ยต่อปี 5.3%   หรือกล่าวคือมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในขณะนี้ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านล้านบาท  เฉลี่ยแต่ละปีจะมีโครงการใหม่เกิดขึ้นมูลค่า 100,000 ล้านบาท (ราคา ณ วันนี้)  แต่หากเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้น 1% ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต  สมมติฐานหลักดังกล่าวเป็นการประมาณการฐานะการคลังในระยะปานกลาง
"ประมาณการขาดดุลงบ เป็นการประมาณการโดยไม่รวมภาระดอกเบี้ยจ่าย  โดยจะมีการขาดดุลในปี 2554 ที่ 143,000 ล้านบาท  ขณะที่ในปี 2555 อยู่ที่ 105,000 ล้านบาท  ส่วนในปี 2556 อยู่ที่ 43,000 ล้านบาท  โดยจะเริ่มเป็นบวกเล็กน้อยในปี 2557"
   รมว.การคลัง กล่าวต่อว่า  สาเหตุที่แยกดอกเบี้ยจ่ายออก    ก็เพราะมองว่าเป้าหมายวัตถุประสงค์หลักในการทำข้อตกลงดังกล่าว  ก็เพื่อให้นำไปสู่การควบคุมรายจ่ายที่เป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ จ่ายตามนโยบาย  และการลงทุน  ซึ่งเมื่อกำหนดเป้างบสมดุลภายใน 5 ปี  ก็คาดว่าน่าที่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายนั้นได้
 "ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะรวมดอกเบี้ยจ่ายก็คาดว่าจะนำไปสู่เป้าหมายการจัดทำงบ สมดุลโดยรวมได้ในปี 2560-2561 ใน 7-8 ปีข้างหน้า โดยที่ภาระหนี้ต่องบประมาณยังอยู่ในสัดส่วน 12% ตลอด จากกรอบวินัยทางการคลังที่ 15%"
*เร่งคุมรายจ่ายบานเยอะหนี้กองทุนฟื้นฟู  
นายกรณ์ยังได้กล่าวว่า การที่เชื่อว่าฐานะการคลังจะสู่สมดุลใน 5 ปี ส่วนสำคัญยังเป็นผลจากการควบคุมงบรายจ่าย ดังจากที่ภาครัฐได้ตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อน ในหลายส่วน  โดยส่วนหนึ่งจะเข้าไปดูว่าจะลดรายจ่ายส่วนไหนได้บ้าง อาทิ ในส่วนของระบบราชการโดยรวม ที่ใช้งบจัดซื้อคอมพิวเตอร์สูงถึง 120,000 ล้านบาทต่อปี  ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็จะมีการจัดซื้อกันไป  โดยที่บางหน่วยงานอาจจะขาดความเชี่ยวชาญ  หรือความรู้ในรายละเอียดในแง่ของความเหมาะสม  และราคาของคอมพิวเตอร์
  รวมไปถึงภาระหนี้ดอกเบี้ยจ่าย ที่เป็นหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน   ซึ่งต้องเข้าไปศึกษา, ค่ารักษาพยาบาล  ตลอดจนส่วนของรายได้ก็เช่นเดียวกัน  คณะกรรมการขับเคลื่อนจะต้องเข้าไปดูว่าจะไปขยายฐานรายได้ได้อย่างไร  และการจัดเก็บในแต่ละประเภท  หรือว่าแต่ละกรมมีแนววิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไร
*สมดุล 5 ปีแยกดอกเบี้ยจ่าย1.8แสนล้าน/ปี
นายกรณ์ แจงต่อว่า การที่คลังได้ตั้งตุ๊กตาไว้ในส่วนของการจัดงบสมดุลภายใน 5 ปีนั้น  ได้แยกภาระดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเฉลี่ยปีละ180,000 ล้านบาทต่อปี ณ ปัจจุบันออกไปแต่ไม่ได้หมายความว่าคลังจะไม่จ่ายดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรก ยังเป็นการจ่ายตามปกติ  แต่หากใช้วิธีการนี้จะเป็นตัววัดระดับความสมดุลที่มีนัยสำคัญมากกว่า  คือรายจ่ายประจำกับการลงทุนเมื่อเทียบกับรายได้ 
    สำหรับการขาดดุลงบปี 2553   ประมาณ 350,000 ล้านบาท  ตาม พ.ร.บ. งบประมาณ และจะลดลงเหลือ 320,000-330,000 ล้านบาทในปี 2555, เหลือ 290,000 ล้านบาท ในปี 2556  ขณะที่ในปี 2557 จะเหลือ 240,000 ล้านบาท  ส่วนในปี 2558 จะเหลือประมาณ 180,000 ล้านบาท  และเหลือ 150,000 ล้านบาทในปี 2559   ส่วนในปี 2560 จะเหลือประมาณ 93,000 บาท  และจะเป็นบวกประมาณ 15,000 ล้านบาทในปี 2561  โดยทั้งหมดคำนวณจากรายได้จริงที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นได้  เมื่อเทียบกับรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น 
  ในส่วนของหนี้สาธารณะโดยรวมเมื่อคิดคำนวณตามเป้าหมายดังกล่าวแล้ว  จะเห็นว่ามีการปรับลดหนี้สาธารณะเมื่อคำนวณเปรียบเทียบกับจีดีพี  โดยลดลงจากตัวเลขเดิมจากทางสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เคยรายงานไว้  ซึ่งจะเป็นการปรับลดครั้งที่ 2 ของปีนี้จากระดับตัวเลขที่ 61% ต่อจีดีพี  โดยได้มีการปรับลดประมาณการลงหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัว  ส่งผลให้รัฐบาลสามารถยกเลิกการกู้ยืมตาม พ.ร.บ. 400,000 ล้านบาท ประมาณการหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจึงปรับลดลงมาสูงสุดที่ 51%
    ล่าสุดครั้งนี้ได้มีการทบทวนใหม่ หลังประมาณการรายได้รัฐเพิ่มผนวกกับเป้าหมายการบริหารรายจ่ายให้อยู่ในกรอบ ของงบสมดุลภายใน 5-8 ปี โดยคาดว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีว่าจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงที่สุดที่ 48% ในปี 2557 หลังจากนั้นก็จะเริ่มปรับลดลงมาสู่ระดับ ณ ปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 42-43% 
"การปรับลดดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นว่าในส่วนของเสถียรภาพและผลต่อความมั่นคง ต่อเศรษฐกิจของเรามีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น  และจะนำไปสู่การพัฒนาที่มีความยั่งยืน  ไม่มีความเสี่ยงต่อการเสียหายในประเทศชาติ  และประชาชน  ขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าจะมีเม็ดเงินเพียงพอต่อการดูแลประชาชนทุกภาคส่วน ตามนโยบายของรัฐบาลและเป้าหมายการให้บริการรัฐสวัสดิการภายใน 6 ปีของนายกฯได้"
อย่างไรก็ดีแม้รัฐจะวางกรอบยุทธศาสตร์จัดทำงบสมดุล เพื่อตอบสังคม แต่ทว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย 5-8 ปีตามที่วางไว้หรือไม่ โดยเฉพาะฝั่งรายได้ที่ยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่ารัฐจะปฏิรูปโครงสร้างการจัด เก็บภาษีอย่างไร และหากเศรษฐกิจไม่ได้เป็นไปตามเป้าการเติบโตเฉลี่ย 4.5% ปี รวมไปถึงปัญหาภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้กองทุนฟื้นฟู จะผ่าตัดบริหารกันอย่างไร   เพราะหาไม่แล้วเสถียรภาพทางการคลังก็เพียง  "ตัวเลขทางบัญชี" ที่ดูดีเท่านั้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,556  12-14  สิงหาคม พ.ศ. 2553

http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=38479:2010-08-11-02-33-04&catid=101:2009-02-08-11-30-52&Itemid=440

--
 




--
 

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 15 สิงหาคมนี้ เวลา 11.00 น. ผมจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทีมหมอโรงพยาบาล เอกชนดัง จังหวัดนครปฐม

ไพรัช ดำรงกิจถาวร เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน ผมจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับทีมหมอโรงพยาบาล เอกชนดัง จังหวัดนครปฐม ที่ทำการผ่าตัดสะโพกคุณแม่ หลังผ่าตัดทิ้งคนไข้ไม่ดูแล ปล่อยให้แม่เกิดปัญหาระบบไหลเวียนโลหิต สมองขาดเลือด เป็นอัมพาต เป็นเจ้าหญิงนิทราถึง 45 วัน หลังจากนั้นก็เสียชีวิต ทางทีมหมอที่ทำการรักษามี 3 คน ประกอบไปด้วย ศัลยแพทย์ออโธปิดิก วิสัญญีแพทย์(อาจารย์แพทย์ชื่อดังมีตำแหน่งทางวิชาการถึง รองศาสตราจารย์โรงพยาบาลดัง) อายุรแพทย์ หลังเกิดเหตุทางโรงพยาบาลและหมอไม่ใส่ใจอธิบายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร บอกแต่เพียงว่าเสียใจด้วย หมอทำดีที่สุดแล้ว พอขอตรวจสอบบ่ายเบี่ยงที่จะให้เอกสารเวชระเบียน จนเวลาล่วงเลยมานานมากถึงได้เอกสาร แต่พบว่ามีการทำเอกสารอันเป็นเท็จมากมาย จึงทำให้เชื่อว่าต้องมีการปกปิดความผิดพลาดในการรักษา ร้องเรียนไปที่หน่วยงานรัฐเรื่องก็ไม่คืบหน้า ถึงปัจจุบันก็ร่วม 2 ปีแล้ว ล่าสุดแพทยสภาบอกว่าให้รอไปอีกปีเศษทั้งๆ ที่หลักฐานชัดเจนต่อมาผมได้ฟ้องแพ่งเป็นคดีผู้บริโภค เพราะหน่วยงานรัฐที่ร้องเรียนไม่ทำงาน จึงต้องพึ่งศาล แต่ทางหมอก็สู้ ยอมให้การต่อสู้ทางคดีต่อศาลที่ขัดกับความจริง และไม่ตรงกับใบรับรองแพทย์ที่เคยออกให้ไว้ ถ้าการให้การต่อศาลเป็นความจริง ใบรับรอบแพทย์ก็จะเป็นเท็จไปทันที ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรง และมีความผิดทางอาญาด้วยผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครได้ จึงจำเป็นต้องใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ที่ผู้กระทำขาดความรับผิดชอบ เหตุการณ์ขณะเกิดเหตุผมได้เขียนบันทึกไว้ที่ เฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/?sk=2361831622#!/note.php?note_id=145145875510435&id=100001041215463&ref=mfhttp://www.facebook.com/?sk=2361831622#!/note.php?note_id=145147365510286&id=100001041215463&ref=mfผมกำหนดจะเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจเมืองนครปฐม(ติดกับวัดพระปฐมเจดีย์)ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เวลา 11.00 น. โดยผมจะเปิดหลักฐานเอกสารเท็จที่ทางหมอได้ทำขึ้นมาด้วย เพื่อจะตีแผ่ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลจากผู้ที่คิดว่าต้องมีจริยธรรมสูง แต่กลับทำทุจริตเสียเองครับติดต่อผมได้ที่โทร. 080-6570558 หรือที่เฟสบุ๊คชื่อผม ไพรัช ดำรงกิจถาวร ครับ



--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
http://www.etcommission.go.th/

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ กับจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ

พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ กับจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ

by ไพรัช ดำรงกิจถาวร on Saturday, August 14, 2010 at 1:11pm

 จาก กรณีที่คุณแม่ล้มก้นกระแทกพื้น ทำให้กระดูกข้อต่อสะโพกหัก ต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแบบเต็มข้อ  หลังผ่าตัดกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราและเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา  ดูเหมือนว่าเป็นเวลาที่ผมได้เรียนรู้ถึงคำว่า "จรรยาบรรณ" ของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์บางคนเป็นอย่างดี  เดิมทีเดียวผมไม่เคยคิดว่าการกระทำที่เป็นการทุจริต  ทำทุกอย่างเพื่อที่จะปกปิดความผิดของตนเองจะเกิดขึ้นในวิชาชีพนี้เหมือนกับ สังคมอื่นๆ  เมื่อเกิดเหตุขึ้นใหม่ๆ ผมเป็นคนที่อยู่ข้างหมอ อยู่ข้างโรงพยาบาล คอยรับอารมณ์ความรุนแรงจากพ่อ น้องๆ และบรรดาญาติๆทางแม่  ด้วยบุคลิกส่วนตัวผมเป็นประนีประนอม โดยให้เหตุผลว่ามันเกิดขึ้นได้ หมอเขาคงไม่ได้แกล้งหรืออยากให้แม่เป็นแบบนี้หรอก   ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับคำอธิบายให้เข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุที่ไม่พึง ประสงค์นี้เลย  ได้รับคำอธิบายถึงโรคที่เกิดขึ้นภายหลังเท่านั้นว่าอาการหนักแค่ไหน  แต่ความสงสัยในใจผมก็มีเหมือนกับทุกคน  จึงคิดว่าให้ผ่านงานศพแม่ไปเสียก่อนค่อยกลับไปถามทางโรงพยาบาลและหมอที่ รักษาแม่  แต่พอถึงเวลากลับได้รับคำตอบที่ทำให้ผมยิ่งคาใจขึ้นไปอีก "ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะคนไข้สมองฝ่อ" เป็นคำพูดจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ

 

เมื่อผมได้รับ คำชี้แจงจากทางโรงพยาบาลแล้ว  ก็ไม่คิดว่าจะทำอะไรต่อ  เพราะไม่มีความรู้ทางการแพทย์เลย ทั้งๆที่ยังคาใจ  ทำได้อย่างเดียวคือ ทำใจรับสภาพว่าแม่ได้จากพวกเราไปก่อนเวลาอันควร  แต่ก็ต้องขอบใจน้องชายผมที่ไม่ยอมแพ้  กลับเดินหน้าร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุข  จนกระทรวงฯรับเรื่องและส่งเรื่องต่อมาที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  เมื่อถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าจะให้น้องทำเรื่องนี้เพียงลำพังได้อย่างไร  ผมเองก็พอที่จะรู้เรื่องระบบราชการและการตรวจสอบ จึงเข้ามาติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอเอกสารเวชระเบียนก่อน  แต่ดูเหมือนว่าในการมาขอเวชระเบียนนี้กลับทำให้ผมมีพลังในการตรวจสอบเรื่อง มากขึ้น เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเลย  โรงพยาบาลบอกให้รอ  รอ  แล้วก็รอ  จนเวลาผ่านไป 1 เดือน 2 เดือน ผมจึงต้องออกอุบายว่า ทางบริษัทประกันชีวิตต้องการเวชระเบียนเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายที่จะต้อง จ่ายสินไหมกรณีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือไม่.......ได้ผล โรงพยาบาลได้สำเนาเวชระเบียนจำนวน 20 หน้าให้พร้อมคุณหมอศัลยแพทย์ออโธปิดิกส์ คุณหมอเจ้าของไข้ก็ได้ออกใบรับรองแพทย์ให้อีก 2 ฉบับ มีข้อความตรงกัน ใบหนึ่งส่งให้บริษัทประกันชีวิต  อีกใบหนึ่งผมเก็บเอาไว้  เนื้อหาโดยสรุปคือ เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เมื่อได้เอกสารเวชระเบียนมาแล้วปัญหาต่อไปคือ อ่านไม่เป็น ไม่เข้าใจ มันบอกอะไรบ้าง ทำให้ต้องหาคนช่วยอ่านให้  จะมีใครอ่านได้นอกจากคุณหมอท่านอื่นๆที่ไม่มีส่วนได้เสียกับเหตุการณ์นี้  ผมจึงนำเอกสารที่ได้นี้ไปตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขอให้คุณหมอได้ช่วยดูให้  แต่ทุกที่ที่ไป กลับไม่มีใครยินดีดูให้เลยสักที่เดียวแม้จะบอกว่ายินดีเสียค่าใช้จ่ายก็ตาม ........จะยอมแพ้หรือ "ไม่" เป็นคำถามและคำตอบในใจที่เกิดขึ้นของผม  มันมีอีกทางหนึ่งคือ ต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง  จากประสบการณ์ในการหาข้อมูลทางวิชาการเพื่อนำมาใช้ประกอบการสอนนักศึกษาของ ผม  ผมเชื่อว่าคงจะหาข้อมูลทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีแม่ของผมได้จากทาง อินเตอร์เนต  จึงมุ่งมั่นที่จะค้นข้อมูลทุกเวลาที่ว่างจากงานสอนและทุกคืนหลังอาหารเย็น  จนง่วงหลับไปกับโต๊ะทำงานที่บ้านในตอนดึก  เป็นแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน จนถึงปัจจุบัน รวมเวลาเกือบสองปีเต็ม  ผมเริ่มที่จะรู้ถึงกระบวนการทางการแพทย์บ้างแล้ว ถึงจะเพียงน้อยนิด แต่ก็เริ่มที่จะรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของเอกสารที่มีอยู่ในมือ  ประกอบกับภายหลังก็ได้เวชระเบียนใหม่อีกชุดหนึ่ง  จากการติดตามทวงถามที่นานแสนนาน  ถึงจะไม่แน่ใจว่าเอกสารที่ได้มาภายหลังนั้นเป็นเอกสารที่เป็นข้อมูลจริงๆจาก การรักษาแม่ก็ตาม  ในชุดที่สองที่ได้มามีเอกสารที่ไม่มีในชุดแรกหลายรายการซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น เอกสารเวชระเบียนที่สำคัญทั้งสิ้น และก็เป็นเอกสารที่มีปัญหาจากการตรวจสอบของผมเองเป็นส่วนใหญ่  เมื่อเป็นแบบนี้ผมจะทำอย่างไรดีในเมื่อทางโรงพยาบาลและหมอไม่แสดงความรับผิด ชอบชีวิตแม่ ที่ต้องเสียไปจากการกระทำที่ตอนนี้ผมเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมแล้วว่า ทั้งประมาท เลินเล่อ ไม่ใส่ใจอย่างร้ายแรง  เรื่องที่ร้องเรียนไปที่หน่วยงานภาครัฐก็ไม่มีคำตอบ  ตอนนั้นเวลาก็ผ่านไปแล้วปีเศษ  จึงตัดสินใจฟ้องแพ่งเป็นคดีผู้บริโภค  ฟ้องคดีแพ่งเดิมไม่ได้เสียแล้วเพราะหมดอายุความ

 

เมื่อฟ้องคดี แล้ว  สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบและผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็คือ  คำให้การของจำเลย (หมอผ่าตัดเจ้าของไข้) กลับให้การต่อศาลว่า แม่ของผมเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวของแม่เอง ไม่ได้เป็นผลจากภาวะแทรกซ้อนหรือโดยตรงจากการผ่าตัด  วันที่ได้คำให้การนี้เป็นวันที่ศาลนัดพิจารณา  ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ทางกองการประกอบโรคศิลปะ ได้นัดให้ไปให้ข้อมูลการร้องเรียน  ทำไมต้องเป็นวันเดียวกันด้วยทั้งๆที่รอมาตั้งปีกว่าแล้ว  กลับมานัดตรงกับศาลนัดอีก  แต่ไม่เป็นไร  โชคดีที่ศาลท่านใช้เวลาไม่มาก  พอเสร็จจากศาลแล้วก็รีบขับรถตรงไปที่กองการประกอบโรคศิลปะทันที  โชคดีที่มาทัน  เมื่อได้เวลาก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องประชุมที่มีคณะกรรมการเต็มห้อง ผมไม่รู้ว่าใครคือใคร  มารู้ภายหลังจากสื่อต่างๆที่กำลังเสนอข่าวเรื่องร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ.....และรูปของท่านเหล่านั้นในเวปไซด์หน่วยงานของท่านเอง

 

ใน การให้ข้อมูลที่กองการประกอบโรคศิลปะนี้ เป็นไปด้วยความรวดเร็ว  ถามประเด็นที่ร้องเรียน  ผมตอบ  หลายครั้งถูกตัดบทไปจึงไม่สามารถให้ข้อมูลได้อย่างเต็มที่  เมื่อเห็นเช่นนี้สุดท้ายผมจึงได้บอกกับคณะกรรมการว่า  ผมมีเวชระเบียน 2 ชุด ได้มาคนละเวลา  ในนี้มีเอกสารเท็จอยู่หลายรายการโดยเฉพาะรายงานพยาบาลที่เท็จอย่างชัดเจน  แล้วผมถามผู้ดำเนินรายการว่า ผมกลับได้หรือยัง  เขาตอบว่า "กลับได้" ทั้งๆที่ไม่พยายามซักผมเลยว่าตรงไหนบ้างที่ผมว่าเท็จ ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาข้อร้องเรียน  แต่ผมก็ไม่ใส่ใจแล้ว  กลับบ้านด้วยความหดหู่  คิดไปว่าหน่วยงานภาครัฐควรจะดูแลประชาชนให้เต็มที่  เพราะเงินเดือนที่เขาเหล่านั้นได้ก็มาจากภาษีของประชาชนนั่นเอง

 

เมื่อ กลับมาถึงบ้านก็เอาคำให้การของหมอ(จำเลยในคดีผู้บริโภค) มาอ่าน  ก็ยิ่งมีอารมณ์โกรธยิ่งขึ้น คิดว่าใบรับรองแพทย์ที่เขาเองเคยออกให้นั้นมันไม่มีความหมายเลยหรือ เคยบอกว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด พอถูกฟ้องร้องก็มาให้การใหม่ว่า ไม่ได้เกิดจากภาวะแทรกซ้อนเสียแล้ว  แต่กลับไปโทษแม่ โทษคนตายไปแล้วว่าเกิดจากโรคประจำตัวของแม่เอง  แล้วทำไมถึงไม่บอกและอธิบายให้ผมและญาติคนอื่นๆแบบนี้บ้างตอนเกิดเหตุ .............แล้วแบบนี้จะเชื่อข้อมูลอันไหนแน่  เมื่อคนที่ประกอบวิชาชีพที่ผมเคยนับถือมาก  นับถือแบบไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยในเรื่องจริยธรรมคุณธรรม  แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้าม  เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพแล้วไม่ต้องพูดถึง  ผมเห็นว่าการทำและประกาศใช้เรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์ ตรงไหนเลยกับกรณีของแม่ผม  เพราะถ้าเขาเหล่านั้นพึงนำเอาจรรยาบรรณวิชาชีพมาเป็นวิถีปฏิบัติอย่างเคร่ง ครัดแล้ว  ก็คงไม่มีการดึงเวลาที่จะให้เอกสารเวชระเบียนเพื่อตรวจสอบ  คงไม่มีการทำเอกสารเวชระเบียนอันเป็นเท็จเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตนเอง  คงไม่มีการออกใบรับรองอันเป็นเท็จหรือการให้การต่อศาลอันเป็นเท็จ (เพราะจะต้องมีอย่างหนึ่งอย่างใดเท็จแน่)

 

ตอนนี้ผม มองเห็นประโยชน์ของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ฉบับนี้อย่างเต็มที่  เสียดายครับ น่าจะมีกฏหมายดีๆฉบับนี้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในกรณีของแม่ผม  ผมจะได้ไม่ต้องมารับรู้ถึงความพิกลพิการของหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบข้อ เท็จจริงจากการร้องเรียน  ไม่ต้องมารับรู้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควรจากคนกลุ่มหนึ่งในวิชาชีพอัน ทรงเกียรติ เป็นเหตุให้กระทบกับความศรัทธาที่เคยมีให้แต่เดิม  ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใครบ้างในสังคมไทย  แต่จากกระแสการฟ้องร้องและร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ แบบนี้  ผมคงไม่ใช่ตัวคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้

จรรยาบรรณ...มีไว้เตือนสติหรือมีไว้สร้างภาพ อยู่ที่ท่านเอง

--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
http://www.etcommission.go.th/

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศาลแอลเอสั่งจำคุกผัว-เมียมะกัน 6 เดือนติดสินบน"อดีตผู้ว่าฯททท." 58 ล.แฉโอนผ่านบัญชี"ลูกสาว-เพื่อน"

วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:15:25 น.  มติชนออนไลน์

ศาลแอลเอสั่งจำคุกผัว-เมียมะกัน 6 เดือนติดสินบน"อดีตผู้ว่าฯททท." 58 ล.แฉโอนผ่านบัญชี"ลูกสาว-เพื่อน"

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายเจอรัลด์และนางแพทริเซีย กรีน สามีภรรยานักสร้างภาพยนตร์ ถูกศาลแขวงนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา พิพากษาจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นให้กักบริเวณภายในบ้านพักอีก 6 เดือน และถูกปรับอีก 250,000 ดอลลาร์ (ราว 8 ล้านบาท) จากความผิดในข้อหาติดสินบน นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อให้ได้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ 


ผู้พิพากษาจอร์จ วู ระบุในคำตัดสินว่า อาชญากรรมที่ทั้ง 2 ก่อขึ้นนั้นร้ายแรง แต่ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับกรณีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ เพราะว่านายเจอรัลด์ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง ผู้พิพากษาจึงมีความเห็นว่าการต้องถูกจำคุกเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อเขา ทั้งนี้ ข่าวระบุว่า ทั้ง 2 ไม่ได้มาปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังคำพิพากษาแต่อย่างใด


ข่าวระบุว่า เมื่อเดือนกันยายนปี 2552 นายเจอรัลด์ วัย 78 ปี และนางแพทริเซียวัย 55 ปี ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในข้อหาสมคบคิดและฟอกเงิน โดยคณะลูกขุนพบว่าทั้งคู่ได้จ่ายเงินสินบนให้นางจุฑามาศเป็นเงินประมาณ 1.8 ล้านดอลลาร์ (ราว 58 ล้านบาท) เพื่อให้ได้จัดงานนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ และข้อตกลงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ ในช่วงระหว่างปี 2545-2550 ซึ่งทำให้พวกเขามีรายได้รวมกว่า 13 ล้านดอลลาร์ (ราว 418 ล้านบาท)


พนักงานอัยการระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนจัดตั้งบริษัทหลายแห่งขึ้นมาบังหน้าเพื่อเป็นช่องทางการ จ่ายเงินให้กับนางจุฑามาศ และได้โอนเงินเข้าบัญชีของลูกสาวของนางจุฑามาศและเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้ได้ สัญญาในการดำเนินธุรกิจเป็นการตอบแทน


ทั้งนี้ นางจุฑามาศปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดและยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ เลยในไทย แต่อดีตผู้ว่าการ ททท.และลูกสาวถูกศาลแขวงลอสแองเจลิสตั้งข้อหาสมคบคิดและข้อกล่าวหาอื่นๆ อีก 8 กระทง ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอาจจะต้องรับโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี


ทนายความของคู่สามีภรรยากรีนปฏิเสธว่า เงินที่ทั้งคู่จ่ายให้นางจุฑามาศไม่ใช่เงินสินบน และตั้งคำถามต่อทฤษฎีของอัยการที่ว่าทั้งคู่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการจัด งานในประเทศไทย


ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนเป็นบุคคลในวงการบันเทิงคู่แรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดภาย ใต้ รัฐบัญญัติการประพฤติมิชอบในต่างประเทศ ซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่ป้องกันการจ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเพื่อแลกกับผลตอบแทนทาง ธุรกิจ


ข่าวระบุว่า คู่สามีภรรยากรีนช่วยเปลี่ยนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯให้มีชื่อเสียง ขึ้นมาในระดับนานาชาติจากการนำภาพยนตร์ใหม่ๆ มาฉาย รวมทั้งดึงตัวดาราดังอย่างไมเคิล ดักลาส เจเรมี ไอร์ออนส์ และผู้กำกับอย่างโอลิเวอร์ สโตน มาร่วมงานเทศกาลในเมืองไทย 


เจอรัลด์ กรีน ใช้ชีวิตอยู่ในวงการภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดมานานกว่า 30 ปี โดยเขาเคยร่วมงานกับสโตน ในหนังเรื่อง "ซัลวาดอร์" ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขา และเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่อง เรสคิวดอว์น ในปี 2549 ซึ่งนำแสดงโดยดาราดังอย่าง คริสเตียน เบล ขณะที่แพริเซีย กรีน เคยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังตลกเรื่อง ไดมอนด์ส ที่นำแสดงโดย เคิร์ก ดักลาส และลอเรน บาคัลล์


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1281679299&grpid=00&catid=



--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
http://www.etcommission.go.th/

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แฉอดีตปธ.รัฐสภา ลวงขืนใจ ขรก.สาวสวยซี 5 อดีตเชียร์ลีดเดอร์มธ. จบโทจากต่างประเทศ มูลนิธิเพื่อนหญิงเผย หน.องค์กรสิทธิฯด้วย ชอบลวนลามลูกน้อง

#แฉอดีตปธ.รัฐสภา ลวงขืนใจ ขรก.สาวสวยซี 5 อดีตเชียร์ลีดเดอร์มธ. จบโทจากต่างประเทศ มูลนิธิเพื่อนหญิงเผย หน.องค์กรสิทธิฯด้วย ชอบลวนลามลูกน้อง
  แฉ อดีตประธานรัฐสภาหื่น ลวง ขรก.ซี 5 เดินขึ้นคอนโดฯ ชั้น 8 แล้วหลอกล่อขืนใจ สุดสลดลงท้ายเหยื่อถูกไล่ออกหลังต้องหยุดงานยาวเพราะไม่กล้าเจอหน้า จนถึงขั้นเครียดพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ล่าสุดตัดสินใจอุทธรณ์ต่อศาลจนศาล ตัดสินให้สามารถกลับเข้ามาทำงานที่รัฐสภาได้อีกครั้ง หลังจากเคยร้องศาลปกครองชั้นต้นแต่คดียืดเยื้อ และตัดสินเจ้าหน้าที่หญิงรายนี้มีความผิดที่หยุดงาน ส่วนอดีตประมุขฝ่ายนิติบัญญัติยังลอยนวลไม่ถูกแจ้งความ ขณะที่อีกรายเป“นถึง หน.องค์กรสิทธิมนุษยชนลวนลามลูกน้อง แต่ยังมีหน้าย้ายไปทำงานถึงองค์กรสิทธิระดับชาติ เผยหน่วยงานราชการครองแชมป์คุกคามทางเพศมากสุด

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ มูลนิธิเพื่อนหญิงร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดสัมมนา "การคุกคามทางเพศ อาชญากรรมร้ายรายวันของสังคม" โดย น.ส.พัชรี จุลหิรัญ นักสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยว่า จากการเก็บสถิติความรุนแรงทางเพศ ที่ผู้ถูกกระทำมาขอคำปรึกษาจากมูลนิธิเพื่อนหญิง ในปี 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 775 ราย ในจำนวนนี้พบว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศมากถึง 83 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 แยกเป็น 1. ข่มขืนกระทำชำเรา 45 ราย โดยมีผู้หญิงรายหนึ่งต้องการเลิกกับผู้ใหญ่บ้าน จ.กาญจนบุรี เพราะต้องมีเพศสัมพันธ์เช้ากลางวันเย็น ฝ่ายหญิงขอเลิกแต่ฝ่ายชายไม่ยอม จนต้องแจ้งความดำเนินคดีฐานข่มขืน
2. พรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 8 ราย
3. พรากผู้เยาว์โดยการยินยอมมีเพศสัมพันธ์ 9 ราย
4. รุมโทรม 7 ราย โดยรายหนึ่งถูกรุมโทรมมากสุดถึง 9 ราย
5. อนาจาร 7 ราย
6. คุกคามทางเพศ 3 ราย และ
7. พยายามข่มขืน ค้ามนุษย์ แอบถ่าย โชว์อนาจาร 4 ราย
รายหนึ่งเป็นพี่เขยแอบถ่ายน้องเมียซึ่งกลัวว่าจะถูกนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ
ที่น่าตกใจคือ ผู้กระทำ 33 ราย หรือร้อยละ 40 เป็นคนใกล้ชิดกับผู้เสียหาย เช่น เป็นเพื่อน หรือเพื่อนบ้าน โดยผู้เสียหายอายุน้อยสุดแค่ 3 ขวบ ซึ่งถูกญาติใช้นิ้วล่วงละเมิดเด็ก
ส่วนผู้กระทำมีอายุมากที่สุด 78 ปี ล่วงละเมิดทางเพศด้วยการอนาจารลูกตัวเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนอายุ 24 ปี ก็ยังขอหลับนอนกับลูกอยู่
 อย่างไรก็ตามการล่วงละเมิดทางเพศดังกล่าว ส่วนใหญ่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้นมากถึงร้อยละ 24 และมีสถิติเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2551

น.ส.พัชรีกล่าวด้วยว่า รายหนึ่งน่าตกใจมากเป็นเจ้าหน้าที่หญิงรัฐสภา ระดับ 5 จบปริญญาโทจากเมืองนอก เป็นคนสวยเพราะเคยเป็นถึงเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ถูกอดีตประธานรัฐสภาคนหนึ่งพยายามใช้ ตำแหน่งหน้าที่เข้ามาตีสนิท ทั้งยังเคยให้ร่วมเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยกัน กระทั่งเหตุการณ์วันหนึ่งถูกอดีตประธานรัฐสภาที่ว่าบังคับให้เดินด้วยส้นสูง 3 นิ้ว จากชั้น 1 ถึงชั้น 8 ของคอนโดฯเพื่อนำเอกสารไปส่งถึงตัว และพยายามชักชวนให้ดูบอลแล้วลวนลามจนถึงขั้นละเมิดทางเพศ ทำให้เจ้าตัวต้องหยุดงานไป 15 วัน เป็นผลให้หัวหน้างานไล่ออกจากงาน ทำให้เจ้าตัวเกิดความเครียด สภาพจิตใจย่ำแย่ ครอบครัวก็ไม่เข้าใจ ถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนกระทั่งอดีตประธานรัฐสภาพ้นจากตำแหน่ง จึงได้ฟ้องศาลปกครองเพื่อขอกลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง คดีได้ยืดเยื้อมานาน เจ้าหน้าที่หญิงรายนี้ จึงเข้ามาปรึกษากับมูลนิธิเพื่อนหญิง ซึ่งต้องมาอยู่ในความดูแลของมูลนิธิเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจอยู่หลายเดือน เนื่องจากศาลปกครองชั้นต้นตัดสินเจ้าหน้าที่หญิงรายนี้มีความผิดที่หยุดงาน จึงได้อุทธรณ์ต่อศาลจนศาลตัดสินว่าให้สามารถกลับเข้ามาทำงานที่รัฐสภาได้อีก ครั้ง

นักสังคมสงเคราะห์มูลนิธิเพื่อนหญิงกล่าวอีกว่า น่าเป็นห่วงว่าเรื่องการแจ้งความดำเนินคดีกรณีถูกข่มขืนอาจจะทำไม่ได้เนื่อง จากติดข้อกฎหมายขาดอายุความ เพราะคดีดังกล่าวตามกฎหมายเป็นคดีที่ยอมความกันได้ และมีอายุความแค่ 3 เดือน เนื่องจากผู้ถูกกระทำอายุเกิน 18 ปีแล้ว ตนคิดว่าน่าจะมีการแก้กฎหมายขยายอายุความเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายมีเวลา ฟื้นฟูจิตใจก่อนดำเนินการตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ที่ผู้เสียหายไม่แจ้งความข้อหาข่มขืนตั้งแต่แรกเพราะผู้กระทำอยู่ในอำนาจ เป็นถึงประธานรัฐสภาขณะนั้น และผู้เสียหายเป็นถึงลูกข้าราชการระดับสูง จึงเป็นห่วงชื่อเสียงหน้าตาของครอบครัว  อีกทั้งถูกเพื่อนร่วมงานมองว่าเป็นการสมยอมจึงไม่กล้าดำเนินการใดๆ

ขณะ ที่ น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์ สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยถึงพฤติกรรมคุกคามทางเพศที่น่าวิตกอีกรายว่า เมื่อปี 2552 มีผู้ชายระดับหัวหน้าองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน กระทำคุกคามทางเพศกับผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หญิง ทั้งการพูดจาแทะโลม การลวนลามเนื้อตัวร่างกาย ทั้งขณะอยู่ในที่ทำงานและออกไปทำงานนอกสถานที่ โดยคณะกรรมการสอบสวนเรื่องราวการคุกคามทางเพศที่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาสอบ สวน มีการเรียกทั้งสองฝ่ายมาสอบข้อเท็จจริง พบว่ามีการกระทำผิดจริง จึงสั่งลงโทษพักงาน 1 ปี แต่ผู้ชายได้ลาออกไม่ยอมรับโทษ จากการตรวจสอบผู้ชายคนนี้ยังกระทำคุกคามทางเพศกับเจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่ มาทำงานแลกเปลี่ยน ที่น่าห่วงคือหัวหน้าองค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนรายนี้อายุประมาณ 30 กว่าปี เป็นผู้มีชื่อ เสียงระดับชาติ ยังได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานสิทธิมนุษยชนระดับชาติ หากคนทำงานด้านสิทธิแต่กลับไปละเมิดคนอื่นเสียเองแล้วจะไปช่วยผู้ถูกละเมิด สิทธิได้อย่างไร

น.ส.สุเพ็ญศรีกล่าวว่า กรณีการคุกคามทางเพศในที่ทำงานพบมากที่สุดในหน่วยราชการ โดยเฉพาะหน่วยงานทหารและตำรวจ ระดับ พล.อ., พ.อ. ที่คุกคาม ทางเพศถึงขั้นข่มขืนกระทำชำเราผู้ใต้บังคับบัญชาในที่ทำงาน รองลงมาเป็นหน่วยงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ โดยมักใช้วิธีเอางานมาบังหน้าชักชวนให้ออกไปทำงานนอกสถานที่แล้วบังคับให้ กินเหล้า ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องยินยอม  รวมทั้งการจับมือถือแขนในที่ทำงาน คนภายนอกอาจมองว่าเป็นความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งที่ผู้ กระทำจงใจคุกคามทางเพศ ดังนั้นหน่วยงานต้องดูความเสี่ยงในการร่วมงานระหว่างหญิงชายด้วย

ด้าน น.ส.นิภาพร แหล่พั่ว ฝ่ายข้อมูลและเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลสถิติความรุนแรงทางเพศจากหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับในปี 2552 พบข่าวการละเมิดทางเพศมีถึง 271 ข่าว มีผู้ถูกกระทำทั้งหมด 331 ราย ช่วงอายุของผู้ที่ถูกกระทำมากที่สุด 11-15 ปี มีจำนวน 132 ราย ในจำนวนนี้อายุน้อยที่สุดเพียง 2 ปี 7 เดือน ซึ่งถูกชายในสถานรับเลี้ยงเด็กข่มขืน อายุมากที่สุด 79 ปี ส่วนผู้กระทำมีจำนวน 485 ราย ช่วงอายุ 16-20 ปีมีมากที่สุด 112 ราย โดยผู้กระทำอายุมากที่สุด 73 ปี อายุน้อยที่สุด 4 ขวบ เป็นเด็กอนุบาลที่ถูกครูสั่งให้เอานิ้วและอวัยวะเพศสอดใส่อวัยวะเพศนักเรียน หญิง สำหรับประเภทการละเมิดทางเพศมากที่สุดคือ การข่มขืน รองลงมา คือ การรุมโทรม อนาจาร ตามลำดับ โดยสถิติละเมิดทางเพศปี 2552 มากกว่าปี 2551 ที่มี 220 ราย


--
http://www.unblockallweb.com/
http://downmerng.blogspot.com
http://picasaweb.google.com/prainn999/14255302# ทัพผ่านฟ้าสู่ราชประสงค์ วันที่ 14 เมษายน 2553
http://www.unblockallweb.com/index.phpq=aHR0cDovL2Rvd25tZXJuZy5ibG9nc3BvdC5jb20%3D&hl=3e8
http://www.112victims.org/
http://www.thaifreenews.org/
http://friendfeed.com/
http://chirpcity.com/bangkok/3
http://www.radaroo.com/
http://factsforthais.blogspot.com/2009/05/7.html
http://tv.kapook.com/nbt.php
http://friendfeed.com/antactica
block
http://www.ustream.tv/channel/redheart
http://redpower-sm-germany.com



--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php
http://www.etcommission.go.th/

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"ฟาวด์พอยต์"เว็บเพื่อสังคม ศูนย์ตามหา"ของหาย"ยุคไซเบอร์

วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7187 ข่าวสดรายวัน


"ฟาวด์พอยต์"เว็บเพื่อสังคม ศูนย์ตามหา"ของหาย"ยุคไซเบอร์


ศักดิ์สกุล กุลละวณิชย์ / รายงาน




ณัฐพงศ์ เทียนดี เว็บมาสเตอร์ฟาวด์พอยต์

ในชีวิตที่ผ่านมาของคนเรา คงมีบ้างที่เคยทำของหาย ไม่ก็เจอสิ่งของที่คนอื่นทำตก หรือลืมไว้ตามที่ต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ย่อมต้องนำมาซึ่งความกระวนกระวายใจแก่ เจ้าของ หรือแม้แต่คนที่เก็บของได้ก็ตาม

และสิ่งแรกที่ควรทำก็คือไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความหาเจ้าของ หรือลงบันทึกประจำวันแจ้งทรัพย์สินสูญหายไว้

จากนั้นส่วนมากคงได้แต่เฝ้ารอการติดต่อกลับ เฝ้าคิดว่ามีจะโอกาสได้ของคืนหรือไม่ หรือต้องออกตามหากันเอาเองตามยถากรรม

แต่ ณ ปัจจุบัน ในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ในโลกแห่งอินเตอร์เน็ต ได้มีกลุ่มบุคคลคิดดีทำดี ลุกขึ้นมาสร้าง "พื้นที่" ที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการหาของส่งคืนให้กับเจ้าของ หรือการตามหาของที่สูญหายไป

เว็บไซต์ฟาวด์พอยต์ (www.foundpoint.com) เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์มาไม่ถึงครึ่งปี แต่มีจุดมุ่งหมายแน่วแน่ในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังทนทุกข์กับเรื่องนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ หรือแนวคิดการจัดทำเว็บที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก!"

"อยากให้ฟาวด์พอยต์เป็นฐานข้อมูลตั้งต้นในการตามหาคน สัตว์ สิ่งของ ที่หายไป อยากให้ทุกคนได้เข้ามาใช้ในยามที่ยากลำบาก และก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังตามหาอะไรก็ตาม" นายณัฐพงศ์ เทียนดี เว็บมาสเตอร์ฟาวด์พอยต์ เผยแรงบันดาลใจก่อตั้งเว็บเพื่อสังคม



ณัฐพงศ์ เล่าประวัติชีวิตย่อๆ ว่า เป็นบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ ด้านอิเล็กทรอนิกส์ จากรั้วลาดกระบัง ที่หันเหมาทำงานด้านออกแบบสื่อเว็บไซต์ และมัลติมีเดีย ร่วมมือกันก่อร่างสร้างเว็บกับ ทิศา ปทุมวัน ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ศุภชัย ใจโต และรัชนียา เอมสาร รับผิดชอบเรื่องข้อมูล

โดยแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเว็บฟาวด์พอยต์ขึ้นมานั้น ณัฐพงศ์ขยายความไว้ว่า

"ผมทำเว็บบล็อกมาประมาณ 5-6 ปีได้แล้ว เป็นบล็อกที่ค่อนข้างไร้สาระ คือให้คนเข้ามาอ่านเอาฮาอย่างเดียว พอทำเรื่องไร้สาระมากๆ เข้า วันหนึ่งก็เกิดอยากจะเป็นคนดีของสังคม เพราะไปถ่ายรูปงานรับปริญญาให้น้องชาย แล้วผมดันซุ่มซ่าม ทำเมมโมรี่การ์ดกล้องถ่ายภาพหล่นหาย

น้องผมเศร้ามากเพราะเสียดายรูปที่ถ่ายมาอย่างสวย ส่วนผมรู้สึกผิดสุดๆ ระหว่างคอตกกลับบ้านกันทั้งพี่ทั้งน้อง ผมเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ก็คิดได้ว่า มันอาจจะมีคนสักคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านเราไปนี่แหละ ที่เป็นคนเก็บได้ แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นของเรา

ผมคิดว่าพื้นฐานทุกคน พอเก็บของได้แวบแรก ต้องคิดอย่างแรกเลยว่า ของนี่ของของใคร แล้วจะคืนเจ้าของยังไง ส่วนแว้บที่สองอาจจะเป็นแว้บ "มาร" ซึ่งอาจจะเป็นมารเพราะจำใจ หาเจ้าของไม่ได้เลยเก็บไว้เอง หรือเป็นมารเพราะใจตน เก็บไว้เป็นของตัวเองดีกว่า...จะคืนมันทำไม

ผมเลยคิดว่า ถ้ามีคำตอบให้กับแว้บแรก ว่าจะคืนเจ้าของยังไง และเขารู้ว่าต้องมาที่เว็บฟาวด์พอยต์ เขาก็อาจจะไม่คิดที่จะยึดไว้

ส่วนคนทำของหายจะกระตือรือร้นกว่าคนเจอของอยู่แล้ว และต้องลงประกาศหาของไปทั่วแน่นอน ในความคิดผม การกระจายประกาศในวงกว้างมันมีส่วนดีสำหรับข้อมูลบางประเภท แต่สำหรับเรื่องแบบนี้น่าจะมีศูนย์กลางที่รวมข้อมูลไว้จะดีกว่า เพราะจะทำให้หาข้อมูลได้ง่ายขึ้น

1.กล้องฟิล์มของชาวต่างชาติ ที่ณัฐพงศ์เก็บได้และกลายเป็นแรงบันดาลใจก่อตั้งเว็บเพื่อสังคม foundpoint.com

2.ฟิล์มที่ณัฐพงศ์ล้างออกมาจากกล้องชาวต่างชาติ และนำมาลงประกาศหาเจ้าของในฟาวด์พอยต์



ส่วนแรงบันดาลใจอีกอันนึง ก็เป็นกรณีที่จำใจเก็บของเขามา เพราะไม่รู้จะไปคืนที่ไหน คือกล้องฟิล์มของชาวต่างชาติ ที่เก็บได้บนรถตุ๊กตุ๊กแถวปากคลองตลาดเมื่อสิบปีก่อน จนบัดนี้กล้องและฟิล์มที่ล้างเป็นภาพออกมาแล้วก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่บ้านผม

ส่วนสาวเจ้าของกล้องที่อยู่ในภาพถ่ายคงจะเสียดายและปลงตกไปแล้วว่า ชีวิตนี้คงไม่ได้กล้องและความประทับใจจากเมืองไทยคืนกลับไปเป็นแน่แท้ ไม่ต้องบรรยายความรู้สึกของเธอเหล่านั้นให้มากความครับ แค่คิดว่าเป็นเรา คงเสียใจแน่นอน"



สําหรับวิธีการใช้งานเว็บฟาวด์พอยต์นั้นเว็บมาสเตอร์ไฟแรง อธิบายว่าไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้งานง่ายๆ เพื่อให้เข้าถึงคนหมู่มาก

"ง่ายมากครับ พอเข้ามาในหน้าแรก ก็จะเจอหัวข้อใหญ่มากคือ "หา" กับ "เจอ"

ก็ตรงตัวเลย คือคุณกำลังตามหาอะไรก็ลงประกาศไว้ในหัวข้อ "หา" และคุณไปเจออะไรมาที่ไม่ใช่ของของคุณ แล้วต้องการจะมาตามหาเจ้าของที่นี่ก็ไปที่หัวข้อ "เจอ" ส่วนรายละเอียดการลงประกาศก็มีความหมายตามหัวข้อของมัน ผมตั้งใจให้มันเข้าใจง่ายที่สุด

นอกจากนั้นก็คือผมจะแยกวันที่ลงประกาศกับวันที่ของหายออกจากกัน เพราะบางคนทำของหายแล้วกว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปหลายวัน หลายเดือน หรือหลายปี เพิ่งจะมาลงประกาศ ระบบจะได้มีข้อมูลที่ถูกต้องเก็บไว้

และที่พิเศษก็คือฟังก์ชัน "หัวใจสีแดง" ที่อยู่ใต้หัวข้อประกาศ ซึ่งเป็นปุ่มที่เมื่อเจ้าของประกาศหาของหรือตามเจ้าของเจอแล้วจะมาทำการกดเพื่อยืนยันว่าประกาศนั้นๆ ได้เคลียร์แล้ว และทางฟาวด์พอยต์จะย้ายประกาศนั้นไปไว้ในหมวดหมู่ "หาเจอแล้ว"

ส่วนเสริมส่วนสุดท้ายคือ "แอดดิส" (add this) เป็นเครื่องมือกระจายข้อมูลประกาศของคุณออกไป โดยแชร์ไปยังโซเชี่ยล เน็ตเวิร์กต่างๆ ที่คุณมีแอ๊กเคานต์อยู่

ในแผนต่อไปผมคิดว่าจะพัฒนาระบบค้นหาภายในฟาวด์พอยต์ให้ดีขึ้น รวมถึงระบบปักหมุดประกาศแบบต่างๆ สำหรับประกาศที่ต้องการความช่วยเหลือ เร่งด่วน ฉุกเฉิน จะได้มาลงประกาศพิเศษไว้ตรงนั้น"



เว็บไซต์ที่มีเจตนาดีๆ เช่นนี้จะไม่เกิดประ โยชน์เลย หากไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งในส่วนนี้ ณัฐพงศ์ให้ความเห็นถึงตลอดช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดหน้าเว็บในวันแรก ว่า

"เว็บเพิ่งเปิดได้ไม่นานครับ สัก 4-5 เดือน ก็เริ่มมีคนเข้ามาใช้บ้างแล้วครับ ผมพยายามประชาสัมพันธ์ไปในเว็บต่างๆ ที่พอจะรู้จักกัน เขาก็น่ารักมาก ช่วยประชาสัมพันธ์กันเต็มที่

ผมรู้สึกดีใจมากเวลามีคนมาลงประกาศใหม่ๆ เพราะรู้สึกว่าเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่ไม่ใช่ดีใจที่มีคนทำของหายนะครับ โดยเฉพาะกับจำนวนตัวเลขของประกาศ "หาเจอแล้ว" ในด้านบนของเว็บ เวลามันเพิ่มจำนวนขึ้น ก็ถือเป็นกำลังใจของคนทำเว็บ และอีกทางหนึ่งก็เป็นการสร้างกำลังใจให้กับผู้ลงประกาศคนอื่นว่า มีคนหาของเจอแล้วจริงๆ งั้นเราเองก็มีหวังเหมือนกัน"

หน้าตาเว็บไซต์ฟาวด์พอยต์



ที่ผ่านมามีเรื่องราวน่าสนใจเกิดขึ้นในพื้นที่ของ "ฟาวด์พอยต์" มากมายหลายเรื่อง ซึ่งณัฐพงศ์หยิบยกบางแง่มุมมาเล่าให้ฟังว่า

"หลังจากปล่อยให้เว็บมันดำเนินไปของมันช่วงระยะหนึ่งซึ่งไม่นาน ผมเห็นคนที่ตามหาของที่ตัวเองทำหายหลายคนครับ แต่มีคนนึงที่ผมอ่านประกาศของเขาแล้วผมน้ำตาจะไหล นึกถึงประโยคที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก" ขึ้นมาทันทีเลย คือประกาศตามหาของหลายชิ้นที่ลืมไว้พร้อมกัน ประกอบด้วย หมวกการ์ตูนรูปอุนจิ เครื่องเกมพีเอสพี หูฟังสีเขียว กระเป๋าสะพาย บัตรนักศึกษา บัตรพนักงาน

พอคลิกเข้าไปแล้ว ยิ่งอยากให้เขาตามหาของให้เจอมากเลย เขาเขียนว่า หายบนรถแท็กซี่ ฝนตกแล้ววางกระเป๋าไว้เบาะหน้า เอาร่มมารับเพื่อน รู้ตัวอีกที ลืมของไว้ด้านหน้ารถเนี่ยล่ะครับ ไม่ได้เสียดายเงิน แต่เสียดายเพราะแต่ละอย่างค่อยๆ ซื้อ ค่อยๆ หาเก็บเงินจนได้ มันเห็นภาพไหม ผมนึกภาพถึงตอนที่เขาอดขนม หรือเก็บออมเงินเอาไว้ซื้อหมวก และเครื่องเกม ใครอาจจะมองว่าเป็นแค่หมวกบ๊องๆ เครื่องเกมไร้สาระ แต่ผมขอทวนประโยคนี้อีกทีที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก" ฝากไว้เป็นกำลังใจว่า ยังมีคนเข้าใจความรู้สึกและเอาใจช่วยอยู่นะครับ



สำหรับบางประกาศ เช่นประกาศหากระเป๋าสตางค์ มีบ่อยมาก บางประกาศกลายเป็นประกาศ "หาเจอแล้ว" เพราะมีพลเมืองดี ส่งบัตร และเอกสารภายในกระเป๋าคืนกลับมาให้เจ้าของตามที่อยู่ในบัตร

พอเจ้าของได้รับของคืน ก็มาโพสต์ข้อความไว้ในประกาศว่า ได้รับของคืนแล้วนะ ผมได้อ่านแล้วก็ปลื้มใจมาก เพราะนอกจากเขาจะได้ของคืนแล้ว ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักและมีมารยาท เขาทำของหาย เขามาลงประกาศตามหา และพอมีคนมาคืนของให้เขา จะด้วยเพราะเข้ามาในฟาวด์พอยต์หรือไม่ก็ตาม เขาก็มากล่าวคำขอบคุณ ทั้งๆ ที่คนที่ส่งของคืนมาให้ จะได้อ่านข้อความขอบคุณของเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เขาก็ยังให้เกียรติและแสดงความนับถือในน้ำใจกลับไปยังพลเมืองดีคนนั้น

สำหรับผม ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เลยจริงๆ"



อนาคตของ "ฟาวด์พอยต์" ณัฐพงศ์ตั้งความหวังถึงการได้ทำหน้าที่ในวงกว้างขึ้น หรือได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่เลี่ยงไม่ได้ของการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อช่วยเหลือผู้คน

"อนาคตผมอยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เข้ามาใช้ฟาวด์พอยต์ อยากให้ จส.100 หรือร่วมด้วยช่วยกัน หรือสถานีตำรวจที่รับแจ้งความเกี่ยวกับของหาย คนหาย ฯลฯ เข้ามาใช้เว็บให้เป็นจริงเป็นจัง เพราะทุกวันนี้ฟังวิทยุมีเรื่องราวของหายบ่อยมากและแต่ละกรณีก็ใช้เวลาในการช่วยเหลือไม่ได้หมดในวันเดียว

ดังนั้น จึงมีข้อมูลคงค้างและต้องพักไว้ในที่ใดที่หนึ่ง ที่น่าจะเป็นฐานข้อมูลเปิด และเป็นที่เก็บข้อมูลเพื่อเป็นฐานข้อมูลไว้ในทุกๆ วัน นั่นแหละครับที่อยากให้ฟาวด์พอยต์เข้าไปรองรับตรงจุดนั้น

อย่างทุกวันนี้ผมเห็นมีการรับซื้อของโจรหรือพวกขโมยของไปขายมากมาย ตัวอย่างกรณีพวกกล้อง เลนส์ หรือโทรศัพท์มือถือ ที่ทุกวันนี้มีคนใช้เพิ่มมากขึ้น มีคนทำหายหรือโดนขโมยเพิ่มมากขึ้น พวกขโมยพอได้ของไป ก็เอาไปปล่อยในตลาดมืดหรือโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการซื้อขายของออนไลน์ทำได้สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าอ้าปากงับกล้วย

แล้วพวกเราเองนี่แหละ ที่วันใดวันหนึ่งอาจจะอยากซื้อกล้อง ซื้อเลนส์ ซื้อโทรศัพท์มือสอง จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นของโจรหรือเปล่า นี่ก็จะเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ทางเว็บของเราจะเข้าไปช่วยกลั่นกรองตรงนี้ ถ้ามีประกาศของหายจากผู้ที่โดนขโมยของไป พร้อมหมายเลขประจำเครื่องที่ลงไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ ก่อนจะตัดสินใจซื้อของมือสองหรือซื้อของต่อจากใคร ก็ให้เข้ามาตรวจสอบของนั้นซะก่อนที่ฟาวด์พอยต์ ดอต คอม ว่าของสิ่งนั้นไม่ได้เป็นของที่ถูกลงประกาศว่าเป็นของหายอยู่ จะได้มั่นใจว่าไม่ได้ไปซื้อของโจร อันจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนตามมาได้

ป้าหมายสุดฝันของผม ผมอยากให้ฟาวด์พอยต์เป็นเหมือนกูเกิ้ล แต่อาจจะเป็น "google : lost and found" (ศูนย์กลางค้นหาของหาย) อะไรทำนองนั้นครับ" ณัฐพงศ์ ระบุ



ต่อข้อถามสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องรายรับ-รายจ่ายของเว็บ ณัฐพงศ์บอกตรงๆ ว่า

"ตอนนี้ไม่มีรายได้ครับ มีแต่รายจ่าย รายจ่ายก็มีแบบพื้นฐาน เหมือนที่เว็บอื่นๆ เขามีกัน คือค่าโฮสติ้ง, ค่าเขียนโปรแกรม, ค่าออกแบบ ซึ่งผมโชคดีที่มีเพื่อนพี่น้องน่ารักมาช่วยกันทำ บ้างก็ทำให้ฟรี บ้างก็คิดในราคาไม่แพง บางส่วนผมทำเองได้ผมก็ทำเอง รวมๆ แล้วพอรับไหว"

สุดท้ายแล้ว ตัวเว็บไซต์จะทำหน้าที่ได้ดีสมตามเป้าหมายเพียงใด คงไม่เท่ากับเจตนาในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน ที่ฟาวด์พอยต์ได้แสดงให้เราได้เห็นถึงแง่มุมดีๆ บนโลกไซเบอร์อันแสนวุ่นวายเช่นทุกวันนี้

"อยากให้คนเข้ามาใช้กันเยอะๆ ไม่ต้องรอให้ของหายหรอกแล้วค่อยมานั่งนึกดีๆ ผมว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต คุณต้องเคยทำของหายบ้างแหละ ของอะไรก็ได้ ของที่หายไม่มีคำว่าของไร้สาระ ของรักของเรา เราก็อยากได้กลับคืนมาใช่ไหมครับ

นึกให้ดีๆ แล้วมาลงประกาศไว้ที่ฟาวด์พอยต์ บางทีอาจจะมีคนกำลังรอที่จะคืนของให้คุณ เหมือนที่ผมรอมาสิบปีแล้ว ที่จะคืนกล้องอันนั้นกลับไป และผมก็เชื่ออีกนั่นแหละว่า ถ้านึกให้ดี คุณอาจจะเคยเจอของที่ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร และอยากจะคืนใจจะขาด แต่ในที่สุด ของสิ่งนั้นก็ถูกซุกไว้ในซอกหลืบที่ไหนสักที่ในบ้านของคุณ อย่างไม่มีคุณค่าอะไร

เชื่อผมเถอะ มีคนรอที่จะได้ของสิ่งนั้นกลับคืนอย่างใจจดใจจ่อ และรอมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

เมื่อคุณนึกได้ เราก็ยินดีต้อนรับสู่ฟาวด์พอยต์!" ณัฐพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

หน้า 21

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEF6TURnMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TXc9PQ==